ฝึกทักษะ Softskills ด้วยความรู้ ทางจิตวิทยา วิทยาศาสตร์ งานวิจัย เทคนิค วิธีการต่างๆ คำคมพลังบวก คำคมคนดัง แคปชั่นเด็ดๆ แคปชั่นทำงาน เพื่อการพัฒนาตนเอง

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Diversity Management แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Diversity Management แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565

รับมือกับทัศนคติ Quiet Quitting หนึ่งใน Diversity ที่ผู้นำต้องทราบ


    
    Soft Skills 365 วันนี้เราจะมาคุยกันถึงความหลากหลาย (Diversity) ด้านทัศนคติ ของพนักงานของเรา ที่อาจจะเกิดขึ้นในองค์กรแล้ว แต่ผู้นำอาจยังไม่ทันสังเกตุเห็น ในฐานะผู้นำเราจึงต้องพยายามทำความเข้าใจความคิดของพนักงาน เพื่อหาวิธีจัดการ ไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกันในภายหลังได้ 

★ Quiet Quitting คืออะไร

        ทัศนคติของบุคคล ที่มีความคิดว่าจะทำงานเฉพาะหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น คือการเลิกทำเกินหน้าที่ หรือ ไม่รับงาน อาสาใดๆ ด้วยเหตุผลที่รู้สึกว่าเหนื่อยล้าจากการทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน จากการทำงานเกินหน้าที่ โดยมีแนวคิดคือ "การทำงานรักษาใจตนเอง และ การทำงานตามเงินเดือนที่ได้"  การทำงานที่มากเกินกว่าหน้าที่ อาจจะนำพาไปปัญหาหมดการทำงาน (Burnout) ในการทำงานได้   

        ผู้ใช้ TikTok (ติ๊กต็อก) ที่ชื่อ @zaidlepplin กล่าวว่า "งานไม่ใช้ชีวิตของคุณ" ได้โพสเนื้อหาที่มีแนวคิดเกี่ยวกับ Quiet Quitting จนเป็นกระแสโด่งดังใน Tiktok

★ Quiet Quitting จะส่งผลอย่างไรกับผู้ที่มีแนวคิดนี้

        มุมมองจาก Soft Skills 365 ถึง Quiet Quitting ก็สามารถใช้เป็นแนวคิด เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟจากการทำงานลงได้ อาจเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริหารเห็นว่า ควรให้ความเป็นธรรมในการจ่ายค่าตอบแทน สำหรับการจ้างงานที่เกินกว่าขอบเขตการทำงานหลัก ทั้งนี้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับพนักงาน ที่เสียสละใช้เวลาส่วนตัวมาปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ขององค์กร 

        อีกมุมมองที่น่าสนใจจาก แพตตี อาห์ไซ ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทในที่ทำงาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า หากมีแนวคิดแบบ Quiet Quitting คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เพราะ Quiet Quitting คือการทำงานที่น้อยที่สุด ตามตำแหน่งงานของคุณที่กำหนดไว้ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะไม่ได้มาจากคนที่ทำงานขั้นต่ำอย่างแน่นอน

Reference

https://www.bbc.com/thai/international-62783704

Share:

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2565

8 ไอเดียพัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร (Diversity Management in Workplace)

★ ความหลากหลายในองค์กร (Diversity in Workplace)

        ความหลากหลาย (Diversity) ของผู้คนที่เกิดขึ้นในองค์กรนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ เช่น ความแตกต่างด้าน เพศ อายุ ระดับการศึกษา บุคลิกภาพ ทัศนคติ เป็นต้น ปัญหาคือ ความหลากหลายที่เกิดขึ้น ก็มักจะตามมาด้วยความต้องการของแต่ละบุคคลที่ต่างกันอีก ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง และ การแบ่งแยก ของพนักงานในองค์กรได้ 

        ฉะนั้นแล้วการศึกษความหลากหลายได้ถึงในระดับแต่ละบุคคล จะทำให้เราวางแผนจัดการบริหารบุคคล เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการ และสร้างแรงจูงใจ โน้มน้าวให้พวกเขา ทำงานตามเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   

★ ประโยชน์ของความหลากหลายที่เกิดขึ้นในองค์กร

        การร่วมมือกันทำงาน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวขององค์กรของคุณ พนักงานที่รู้สึกมีค่าและเป็นที่ยอมรับนั้น จะมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้น มีการผลิตชิ้นงานสูงขึ้น และอยู่กับบริษัทได้นานขึ้น ส่งผลต่อภาพรวมทางธุรกิจค่อยๆดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป

"บริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมมากกว่า มีโอกาส 36% ที่จะได้รับผลกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น" (McKinsey & Company)

        ทีมงานที่มีความหลากหลาย จะมีนวัตกรรมมากขึ้น เพราะพวกเขาจะนำพรสวรรค์ ทักษะ ประสบการณ์ และมุมมองที่หลากหลายมาสู่งาน เมื่อคุณรวมสิ่งนี้เข้ากับพนักงาน และเปิดโอกาสให้พนักงานไม่กลัวที่จะมีส่วนร่วม มีความคิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหา และการแสดงความเห็น คุณจะเห็นว่า เกิดการมีส่วนร่วมของพนักงานเพิ่มขึ้น และผลลัพธ์จากการทำงานเพิ่มขึ้น สิ่งนี้จะนำไปสู่การว่าจ้างที่ดีขึ้น จะดึงดูดผู้มีความสามารถเข้ามาทำงานให้บริษัทเราได้มากขึ้น HR สามารถจ้างพนักงานที่มีคุณภาพสูงได้

        ด้วยความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ คุณจะได้ 8 เทคนิคพัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร ที่ส่งผลต่อการเพิ่มพนักงานให้เกิดความหลากหลาย และ รักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กรไปได้ในระยะยาว


★ 8 ไอเดียสร้างสรรค์พัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร 

1. การรับรู้และรับทราบ (Awareness and Acknowledgement)

        ต้องตระหนักรู้ว่ามีความหลากหลายเกิดขึ้นในองค์กรของคุณ รู้ถึงปัญหาก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องพูดคุยกับพนักงานของคุณให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก เพื่อให้คุณสามารถสร้างแผนเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของพวกเขาได้ดีขึ้น

2. ยอมรับและเห็นคุณค่าความแตกต่างทั้งหมด (Accept and value all differences)

        ยอมรับและเห็นคุณค่าความสามารถของพนักงานทุกคนโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง วิธีง่ายๆ ในการแสดงให้พนักงานเห็นว่าคุณชื่นชมพวกเขาทุกวันคือเพียงแค่มีส่วนร่วมในการสนทนาและรับฟังพวกเขา ทำความรู้จักกับพนักงานของคุณเป็นการส่วนตัว เมื่อพนักงานรู้สึกมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับ พวกเขาจะทำอย่างสุดความสามารถ

3. เปลี่ยนภาษาของคุณ (Change your language)

        ให้ความกระจ่างชัดต่อพนักงาน และผู้สมัครงาน ถึงการให้ความสำคัญกับความหลากหลายในที่ทำงาน รวมถึงสร้างการสื่อสารถึงการมุ่งเน้นเรื่องความหลากหลายให้อยู่ในทุกที่ เช่น คู่มือพนักงาน สัญญาจ้าง การว่าจ้าง เอกสารการปฐมนิเทศ และเอกสารอื่นๆ ของบริษัท

4. กำหนดนโยบายความหลากหลาย (Establish diversity policies)

        กำหนดนโยบายความหลากหลายให้ครอบคลุม โดยสิ่งที่ต้องมี ได้แก่ เพศ การล่วงละเมิดทางเพศ ความสามารถ ความพิการ เชื้อชาติ ศาสนา และรสนิยมทางเพศ นี่คือตัวอย่างนโยบายความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมจาก SHRM (Society for Human Resource Management องค์การด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่มีสมาชิกจาก 160 ประเทศทั่วโลก)

5. จ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม (Pay attention to pay equity)

        ใส่ใจในจ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม เมื่อมีการเลื่อนตำแหน่ง หรือ การทำงานนอกสถานที่ ให้จ่ายค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ให้ตำแหน่งและความรับผิดชอบที่สูงขึ้น แต่เงินเดือนเท่าเดิม หรือ ให้ไปทำงานต่างจังหวัด จากบ้านเกิดของพนักงานไป แต่รายได้เท่าเดิม ต้องพิจารณาถึงบริบทของการทำงานที่แตกต่างกันไปจากเดิม

6. รับสมัครงานจากการแนะนำ (Hiring through referrals)

        ส่งเสริมให้พนักงานปัจจุบันของคุณ แนะนำเพื่อนของพวกเขา โดยใช้การเน้นย้ำว่า องค์กรของเราให้ความสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลาย จะวิธีที่ดีในการดึงดูดผู้สมัครที่หลากหลาย การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการแนะนำโดยพนักงานนั้น เป็นแหล่งของการหาพนักงานใหม่ที่ดี

7. พัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรม (Develop Diversity & Inclusion Training Programs)

        จัดให้มีการฝึกอบรมความหลากหลายและการรวมกลุ่มสำหรับทุกระดับในองค์กรของคุณ โดยเริ่มต้นจากตำแหน่งผู้นำก่อน เพื่อให้พวกเขาเปิดทางและช่วยพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมของคุณ

        การฝึกอบรมควรส่งเสริมเรื่องการมีอคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (unconscious bias) และในการฝึกอบรมนั้นให้เป็นการเข้าร่วมกิจกรรมโดยสมัครใจ และออกแบบหลักสูตรให้สามารถใช้ได้กับทุกคนในองค์กร เพื่อให้ได้รับการส่งเสริมจากทุกคนในองค์กรของคุณ

8. การทำงานที่ยืดหยุ่น (Institute flexible working arrangements)

        สร้างนโยบายการลาที่ยืดหยุ่น เสนอวันหยุดที่ยืดหยุ่นได้ เพื่อให้พนักงานสามารถเฉลิมฉลองวันหยุดและกิจกรรมที่สำคัญต่อพวกเขาได้ 

Highlight : 74% ของคน Gen Yเชื่อว่าองค์กรจะมีนวัตกรรมมากขึ้นเมื่อมีการส่งเสริมวัฒนธรรมของความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก

"ทุกคนต่างมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน และไม่มีใครบรรลุเป้าหมายในชั่วข้ามคืน"

        การสื่อสารภายในองค์กรควรทำให้เห็นชัดเป็นรูปธรรม ถึงการให้ความสำคัญต่อความหลากหลายในองค์กร ได้อย่างบ่อยครั้ง และมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น กำหนดอยู่ในนโยบาย วาระการประชุม การปฐมนิเทศ จะช่วยแสดงให้เห็นว่าองค์กรของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างไร ตราบเท่าที่คุณคอยดูข้อมูลของคุณอย่างใกล้ชิดและวัดความคืบหน้า เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาองค์กรต่อไป

Reference

https://www.hrdive.com/spons/10-initiatives-to-improve-diversity-in-the-workplace/629941/

http://lyksoomu.com/CkFy


Share:

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2565

เข้าใจความต่าง เข้ากันกันง่ายขึ้น ต้องรู้ความหลากหลาย Generation in Workplace

ความหลากหลายในองค์กร

          ปัจจุบันเราจะพบว่ามีพนักงานในบริษัทที่มีความหลากหลาย (Diversity) ทางอายุมากกว่าที่เคย 
ด้านหนึ่งเป็นประชากรสูงอายุและอายุเกษียณตามกฎหมายที่เพิ่มขึ้น และอีกด้านหนึ่ง ผู้คนเริ่มก้าวแรกในเส้นทางอาชีพของตน ด้วยความหลากหลายทางอายุนี้ และเราจะกระตุ้นให้ตระหนักถึงความหลากหลายนี้กันอีกครั้ง เพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างความต่างนี้

          ข้อมูลจาก Livecareer.com ได้สำรวจพนักงานมากกว่า 1,000 คนเพื่อศึกษาถึงความหลากหลายที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน ณ ปัจจุบัน โดยดูถึงทัศนคติทั่วไปต่อสถานที่ทำงาน ความท้าทายของคนรุ่นต่างๆ ที่ทำงานร่วมกัน ทักษะและนิสัยของการทำงานในแต่ละรุ่น

อายุที่ต่างกันมีความสำคัญในที่ทำงานหรือไม่ ?

เรามาทบทวนการแบ่ง Generation โดยสังเขปรุ่นต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจความหลากหลาย ตามการศึกษาก่อนหน้านี้

★ Silent Generation หรือที่เรียกว่า Traditionalists [เกิด ค.ศ. 1928-1945]

          เติบโตขึ้นมาไกลก่อนรุ่งอรุณของเทคโนโลยีสมัยใหม่ พวกเขาให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก ก้าวช้าลง และเล่นตามกฎ คนที่เป็นตัวแทนของ Silent Generation มักจะเป็นคนหัวโบราณ ซื่อสัตย์ และมีวินัยสูง ถึงกระนั้น เนื่องจากอายุที่มากขึ้น คนรุ่นเงียบเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีอยู่ในแรงงานในปัจจุบัน

★ Baby Boomers (เกิด ค.ศ. 1946-1964)

          เบบี้บูมเมอร์มักมองหาความมั่นคงในงานเป็นหลัก พวกเขาชื่นชมสภาพแวดล้อมที่เป็นทางการและมีโครงสร้างมากกว่าคนรุ่นหลัง บูมเมอร์ยังขาดความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เนื่องจากไม่มีการสื่อสารแบบดิจิทัลเติบโตขึ้น ดังนั้นพวกเขาอาจชอบการประชุมแบบเห็นหน้ากันมากกว่าการประชุมออนไลน์

          กลุ่มบูมเมอร์ต้องการโอกาสที่จะได้แบ่งปันความเชี่ยวชาญ เนื่องจากพวกเขาเป็นแหล่งความรู้ที่ดีเกี่ยวกับงานของตน พวกเขาทำงานหนักและต้องการได้รับการยอมรับในทักษะของพวกเขา ผู้จัดการควรส่งเสริมให้พวกเขาให้คำปรึกษาแก่พนักงานที่อายุน้อยกว่า

          คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์หลายคนชื่นชอบการทำงานที่เป็นแบบแผน และเลือกการทำงานในสถานที่ทำงานมากกว่า ซึ่งจะกระตุ้นให้พวกเขาทำงานปัจจุบันได้นานขึ้น สวัสดิการด้านสุขภาพและการเกษียณอายุยังเป็นที่ต้องการอย่างมาก

★ Gen X (เกิด ค.ศ. 1965-1980)

          ชอบสภาพแวดล้อมที่เน้นความเป็นอิสระ พวกเขายินดีที่มีความยืดหยุ่นในการจัดการปริมาณงาน พื้นที่ทางร่างกายและจิตใจที่มากขึ้นก็มีความสำคัญต่อพวกเขาเช่นกัน

          สำหรับคนงานรุ่น X มักให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นหลัก ดังนั้นพวกเขาจึงประเมินความครอบคลุมด้านการรักษาพยาบาล การจัดการแรงงานที่ยืดหยุ่น บริการรับเลี้ยงเด็กในสถานที่ และผลประโยชน์อื่นๆ ที่เอื้อให้เกิดความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตที่ดี เมื่อพูดถึงรางวัล Gen Xers ดูเหมือนจะชอบรางวัลที่เป็นตัวเงิน

★ มิลเลนเนียล หรือ GEN Y (เกิด ค.ศ. 1981-1996)

           รุ่นที่มีการเชื่อมต่อกันมากและมีความชำนาญด้านเทคโนโลยีนี้ท้าทายความต้องการของนายจ้างในเรื่องการเดินทางที่ไม่หยุดหย่อน มาตรฐานความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน และความคิดที่มุ่งแสวงหาผลกำไร พวกเขาเป็นนักสื่อสารยุคใหม่ที่ยอดเยี่ยมและมีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ

          คนรุ่น GEN Y ชื่นชอบการทำงานทางไกลและตารางเวลาที่ยืดหยุ่น พวกเขาต้องการได้รับการประเมินไม่ใช่สำหรับเวลาทำการ แต่สำหรับผลลัพธ์ของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น คนรุ่นมิลเลนเนียลต้องรู้สึกว่างานของพวกเขามีความสำคัญและมีความหมายลึกซึ้งยิ่งขึ้น

★ Gen Z (เกิด ค.ศ. 1997-2012)

           พนักงาน Generation Z ให้ความสำคัญกับงานที่เน้นเป้าหมายและความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดี พวกเขาให้ความสำคัญกับโอกาสในการเติบโตและการส่งเสริม Gen Zers ทำงานเพื่ออุดมการณ์ที่สูงขึ้นเพราะพวกเขามองว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นในฐานะเป้าหมายอาชีพระยะยาวอันดับต้น ๆ ของพวกเขา

Upgrade Soft Skills : การบริหารความหลากหลายในองค์กร (Diversity Management)

  • การศึกษาความแตกต่างที่หลากหลายระหว่างบุคคล HR และ ผู้นำองค์กร ควรร่วมมือกัน ในการศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคลที่เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อทำความเข้าใจความต้องการ และสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำงานได้อย่างเหมาะสม

Reference

https://www.livecareer.com/resources/careers/planning/generation-diversity-in-the-workplace

Share: