ฝึกทักษะ Softskills ด้วยความรู้ ทางจิตวิทยา วิทยาศาสตร์ งานวิจัย เทคนิค วิธีการต่างๆ คำคมพลังบวก คำคมคนดัง แคปชั่นเด็ดๆ แคปชั่นทำงาน เพื่อการพัฒนาตนเอง

วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

สาวอีสานต้องการผัวฝรั่ง เท่านั้นหรือ

        มาอีกเรื่องแล้วกับหนังเขยฝรั่ง เมียอีสานบ้านเฮา The Murderer "เมอร์เด้อเหรอ ฆาตรกรรมอิหยังวะ" หนังแนว Dark Comedy ที่ตอกย้ำแนวคิด เมียฝรั่งเป็นสาวอีสาน จนผมสงสัยว่าที่จริงแล้ว เมียฝรั่ง ถูกสังคมจำกัดความไว้ให้ใช้กับแค่ สาวอีสานเท่านั้น หรือเป็นค่านิยมที่แท้จริงของสาวๆ อีสานกันแน่

        เมื่อเราต้องอยู่กับคนมากมายที่มาจากต่างสถานที่ ต่างวัฒนธรรม เราจะอยู่กับเค้าอย่างเป็นมิตร และเข้าอกเข้าใจได้อย่างไร คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้เรียนรู้ถึงมุมมองความคิด ที่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมเค้าคิดและต้องการแบบนั้น การศึกษาถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคล (Diversity) ถือเป็นอีก Soft Skill ที่ช่วยทำให้เราเข้าใจความแตกต่าง ยอมรับและเคารพในความคิดของกันละกันได้มากขึ้น

        ทำไม เมียฝรั่งต้องเป็นสาวอีสาน ?

        เริ่มต้นที่ฉากนี้ครับ เกิดขึ้นหน้าบ้านของทราย

- ตุ๊กตา(ซ้าย) เป็นพนักงานบาร์ ที่พัทยา ได้สามีเป็นชายชาวอเมริกัน

- ทราย (ขวา) เป็น จนท.การตลาดโรงแรม ที่ กทม. ได้สามีเป็นชาวอังกฤษ ทำงานที่เดียวกันแผนก IT

        จังหวะหนึ่งของการสนทนา มีคำพูดของตุ๊กตา พูดถึงทรายว่า ถึงแม้จะมีการศึกษาสูง "ก็หาผัวฝรั่งมาเลี้ยง ไม่ต่างกันหรอกหว่ะ"

        แล้วที่จริง สาวอีสานต้องการ "หาผัวฝรั่งมาเลี้ยง" หรอ?

        ช่อง The Isaan Record บน YouTube มี VDO (2020) ชุดนึงกล่าวถึงหมู่บ้านเขยฝรั่งในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งมีชาวตะวันตกแต่งงานกับหญิงไทยถึง 500 คน

        เปิดเหตุผลที่เลือกแต่งงานกับฝรั่ง แบ่งเป็นประเด็นดังนี้

คุณณัฐมนต์ สมภาร

- เป็นคนขี้เหร่ คนไทยไม่เอา ฝรั่งชอบ

- มีแนวคิดว่า ต่างชาติมีเงิน

- พบว่าฝรั่งรักจริงหวังแต่ง ดูแลเรา เป็นประเด็นหลักที่ตัดสินใจแต่งงาน


คุณปราณี โนนทราย

- เป็นคนเทคแคร์ ผู้ชายดี เค้าเลยหลงคารมณ์เรา

- คิดว่าชีวิตแบบคนไทย คือการไปดูแลเขา เมืองนอกไม่มีอย่างบ้านเรา

- มีจิตใตที่มุ่งมั่นว่าชีวิตตัวเองต้องดีขึ้น ไม่ใช่จากการเป็นเมียฝรั่ง

- อยากให้ลูกได้เรียนเมืองนอก เลยอยากได้แฟนต่างชาติ


อุดรทำไมถึงมีฝรั่งเยอะขนาดนั้น?

        บทความจากเว็บไซต์อีสานร้อยแปด เล่าประวัติศาสตร์ช่วงสงครามเวียดนาม ในปี พ.ศ.2508 ที่ทหารอเมริกาเข้ามาประจำที่ฐานบินที่จังหวัดอุดรธานี ทำให้ชุมชนเมืองอย่างรวดเร็ว เกิดอาชีพบริการมากขึ้น เช่น รับจ้างทั่วไป ขับรถสามล้อถีบ และทำงานตามสถานเริงรมย์ ห้องอาหารที่ดนตรีบริการลูกค้า ทำงานตามโรงแรมทั่วไป และอีกอาชีพหนึ่งที่ให้รายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ คือ อาชีพเมียเช่าและขายบริการชั่วคราว หรือนี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นเมียฝรั่งของสาวอีสานกันแน่

หรืออาจมีเหตุผลอื่น ที่สาวอีสาน มีสามีเป็นฝรั่ง

        นอกบ้าน ขณะที่ชาร์ลี และ เอิร์ล กำลังช่วยกันซ่อมบ้านทรายอยู่นั้น ทั้งสองคนพูดคุยถึงจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตคู่ ชาร์ลี ได้บ่นถึงตุ๊กตาว่า "เธอรีดไถเงินผมตลอดเลย คุณก็โดนเหมือนกันใช่มั้ย"

        และในครัว ป้าพากำลังถามทราย "ว่าแต่ผัวมึง เมื่อไร่จะให้เงินมึงละอีทราย"

......

สาวอีสาน เค้าแต่งงานกับฝรั่ง เพราะเงินเท่านั้นหรอ ?

        งานวิจัยของ ดร.พัชรินทร์ ลาภานันท์ เรื่อง ไม่ใช่เพียงเพราะเงิน : การแต่งงานข้ามชาติของผู้หญิงอีสาน (2012) ในจังหวัดอุดรธานี ระบุว่า เหตุผลที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ ไม่ใช่แค่เงิน มีหลายเหตุผล ประกอบซับซ้อน เช่น 

- ผิดหวังจากชายไทย

- ต้องการมีชีวิต สามี-ภรรยา ที่มีความสุข

- ผู้หญิงได้รับค่านิยมสมัยใหม่

และผลจากการแต่งงานกับฝรั่งไปแล้วพบว่า

- ส่วนมากฐานะดีขึ้น รายได้เพิ่ม ไม่มีหนี้ และบางส่วน มีทรัพย์สินเพิ่ม มีการออม


หรือที่แท้? สาวอีสาน อยากเป็นเมียฝรั่งเพราะขนาดใหญ่ของไอ้นั่น..!!!

        เค้าว่ากันว่า "ไอพวกพวกฝรั่ง ไอนั่นมันใหญ่ยาว จริงป่ะ คงจะแซ่บ แซ่บ (พร้อมแลบลิ้น)" คำถามจากป้าพา ถามทราย

        ผมได้ลองหาข้อมูลแล้ว ว่าสาวอีสานชอบฝรั่งที่ความใหญ่ยาวของอวัยวะเพศชายจริงป่าว ต้องเสียใจด้วยครับที่ไม่พบเจอคำตอบจริงๆ

        ที่พอจะหามาได้ คือ ความพึงพอใจของฝ่ายหญิงเกี่ยวกับขนาดของอวัยวะเพศชาย เป็บบทความอ้างอิงงานวิจัย ของ The Standard กล่าวไว้ครับ ความยาวไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ การถึงจุดสุดยอดในฝ่ายหญิงต่างหาก ยาวไปก็อาจทำให้เจ็บปวดและรำคาญ

        ไม่ต้องกังวลแล้วนะครับ สำหรับหนุ่มๆ ที่กำลังจีบสาวอีสาน คุณไม้ได้เป็นรองฝรั่งในเรื่องนี้

ว่าแต่มีแค่สาวอีสานเท่านั้นหรอ? ที่มีค่านิยมเรื่องการเป็นเมียฝรั่ง

        จากบทความของ The Matter เรื่อง วาง "อคติ" ลงแล้วเข้าใจ "เมียฝรั่ง" ผ่านงานวิจัยและมุมมองเชิงสังคมศาสตร์ โดยมี อ.ชานนท์ ไชยทองดี ให้ความเห็นว่า

        ในความเป็นจริงกระแสนิยมผู้ชายชาวต่างชาติไม่ได้เกิดขึ้นกับหญิงชาวอีสานกลุ่มเดียว แต่ผู้หญิงชนชั้นกลางที่มีสถานะทางสังคมที่ดี หรือความนิยมชื่นชอบชายชาวต่างชาติในหมู่วัยรุ่น จนเกิดเป็นวลี "สาย ฝ." ก็มีให้เห็นเป็นปกติ


        ค้น Google ใน Keyword เมียฝรั่ง คุณจะเจอเรื่องราวประสบการณ์ การเป็นเมียฝรั่งจากหลากหลายคน ที่สามารถยืนยันได้ว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับสาวอีสานเท่านั้น ทั้งยังมีเนื้อหาสอนหาผัวฝรั่งอีกมากมาย แนะนำวิธีการต่างๆ ที่มาในรูปแบบของคลิป VDO บน YouTube

        ผมยอมรับว่า เคยมีภาพมายาคติที่ คิดว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จากภาคอีสาน นิยมที่จะมีสามีเป็นฝรั่ง จากปัญหาด้านเศรษฐกิจและการศึกษา ซึ่งเกิดจากการที่ผมยังมีความรู้ที่น้อยเกินไป จึงด่วนสรุปว่า ภาพของเมียฝรั่งส่วนใหญ่ สำหรับผมคือ ผู้หญิงจากภาคอีสาน มาทำงานที่พัทยา ตั้งใจทำงานให้ได้ผัวฝรั่ง เพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น

        ที่จริงแล้ว มันก็ดีไม่ใช่เหรอครับ ที่ชีวิตของพวกเธอจะดีขึ้น ไม่ว่าพวกเธอจะเลือกทางไหน ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผมขอให้เธอเหล่านั้น ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ ตามเป้าประสงค์ของเธอ ถ้าเหตุผลของพวกเธอ จะทำให้เกิดการพัฒนา เปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ก็จงปล่อยให้คนที่มีความคิดอคติเหล่านี้ ดักดานเป็นกบในกะลา ต่อไป

        วันนี้ ผมได้นำเสนอข้อเท็จจริง หลายๆ อย่าง รวมรวมมาเป็นความรู้ ให้เราพิจารณาด้วยกัน ทำความเข้าใจต่อ ผู้หญิงอีสาน ที่อาจเป็นคนรู้จัก หรือเพื่อนร่วมงานของคุณ ในประเด็นสาวอีสานต้องการผัวฝรั่ง เท่านั้นหรือ เพราะบางทีคุณอาจเคยตัดสิน ตีความ หรือให้ค่าว่าเค้าเป็นคนอย่างนั้น อย่างนี้ จากสิ่งที่คุณเห็นผ่านสื่อจนเกิดเป็นอคติ หลังจากนี้ผมหวังว่า ข้อเท็จจริงเหล่านี้จะเปลี่ยนภาพจำที่คุณมีต่อสาวอีสาน ในมุมที่ต่างออกไป เพื่อให้คุณได้เข้าใจความแตกต่างของแต่ละคนในสังคมได้มากขึ้น

Reference

Workpointtoday (2019) : https://shorturl.asia/WoMhL

The Matter (2019) : https://shorturl.asia/8yfQ7

The Isaan Record (2020) : https://shorturl.asia/M2Kuv

อีสาน108 (2020) : https://shorturl.asia/uF1Mq

Ningtalk Mylife (2023) : https://shorturl.asia/QUOXi

The Standard (2022) : https://shorturl.asia/mMsw9

Share:

ดู Zom 100 จบแล้วอยากลาออกจากงานจริงหรอ?

        หนังติดเทรนด์อันดับ #1 Top Movie in Thailand บน Netflix วันนี้ กับหนังแนวหนีซอมบี้ ที่ชวนกระตุกต่อมให้คิดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง จนทำให้แอบคิดได้ว่า หลังดูจบเรื่องนี้มีใครอยากตัดสินใจลาออกจากงานประจำอย่าง Tendo Akira พระเอกของเรื่องกันบ้าง

        Akira จากหนุ่มไฟแรง ที่มุ่งมั่นตั้งใจในการทำงาน เมื่อต้องพบกับสภาพการทำงานที่ไม่เป็นเวลา และพฤติกรรมของหัวหน้างานที่น่าเบื่อหน่าย จากสถานที่ทำงานที่คิดว่าเป็นสถานที่แห่งความอบอุ่น ทุกคนมาเจอกันแม้กระทั่งวันหยุด ซึ่งดูแล้วน่าจะสดใสนั้น ที่จริงแล้วเป็นที่ที่มืดมิดชัดๆ ทำให้ Akira นั้นหมดไฟในการทำงานไปภายในปีเดียว

        Akira เจ้าหน้าที่แผนก Production โฆษณา ต้องพบเจอกับการทำงานโต้รุ่งกัน 2 วันติดเลย ทำให้ไร้เรี่ยวแรงในการทำงานต่อไป

        วัฒนธรรมของการโหมงานหนักในญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดภาวะคน ทำงานหนักจนตายเรียกว่า “โรคคาโรชิ” (Karoshi) สาเหตุจากการทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียด อ่อนเพลีย จนเกิดความผิดปกติต่อร่างกายและอารมณ์ นำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด

        ตัวผมเองเคยเจอปัญหาการทำงานที่ไม่เป็นเวลาเหมือนกันครับ แต่มาในรูปแบบของโทรศัพท์ของลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาในวันหยุด ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้กับชีวิตตลอด 8 ปีที่ผ่านมา จัดว่าเป็นปัญหาที่น่าเบื่อแต่ต้องรับมือครับ เพราะตอนนั้นยังต้องทำงานกันต่อไปเหมือนกับ Akira นี่ล่ะ แต่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งของผมเลยแหละที่อยากออกจากการทำงานที่มีลักษณะงานแบบนี้

        ดังนั้น การบริหารจัดการเวลาในการทำงานของพนักงาน ก็เป็นเรื่องที่องค์กรควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากที่จะมุ่งเน้นเป้าหมายขององค์กรแล้ว เราควรหันมาใส่ใจสภาพการเป็นอยู่ของพนักงานด้วย ว่าได้รับผลกระทบจากเวลาในกาการทำงานมากน้อยเพียงใด

        ประเด็นต่อมาของ Akira คือการรับมือกับหัวหน้างานจอมโหด ที่ออกคำสั่งอย่างดุเดือดพร้อมระเบิดอารมณ์โวยวายเสียงดังใส่ ถึงอย่างนั้น Akira เอง ก็ยังรู้สึกว่าโชคดีแค่ไหน ที่บริษัทนี้รับเค้าเข้าทำงาน และเค้าเองก็ไม่กล้าตัดสินใจที่จะลาออก

        อ้างอิงจากงานวิจัยของ Gallup แพลตฟอร์มเพื่อใช้แบบสำรวจพนักงาน ที่ได้การยอมรับจาก HR ทั่วโลก จัดสำรวจวัยทำงานในสหรัฐฯ 7,000 คน และพบว่า 50% ของพนักงานที่เคยลาออก ออกเพราะต้องการจะหนีจากหัวหน้า

        ผมเชื่อว่าหาก HR ได้ดูหนังเรื่องนี้ จะสามารถตัดคลิป บางช่วงบางตอน ไปใช้ในการอบรม Soft Skills ให้กับหัวหน้างาน ในเรื่องของภาวะผู้นำ และการสื่อสารในองค์กร ซึ่งจะช่วยลดปัญหา การลาออกของพนักงานใหม่ไฟแรง ที่มีความสามารถสูง แต่ถูกสกัดดาวรุ่ง เพียงเพราะพฤติกรรมแย่ๆ ของหัวหน้างาน

ฉากนี้ผมดูแล้วหม่นหมองมากเลย Arika พูดว่า

        . "อยากให้ไม่มีที่กั้นจังเลย"

        .

        . "ถ้าไม่มีพวกนี้ละก้อ"

        .

        . "จะได้มีข้ออ้างไม่ไปทำงานในวันพรุ่งนี้ได้"

        .

        นี่คือสิ่งที่เราควรได้รับจากการทำงานหรอ ? ฟังดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้..... แต่เสียดายที่มันมีจริง และมันจะน่าเสียใจกว่านี้ ถ้าเกิดขึ้นกับคุณ หรือ คนที่คุณรู้จัก

        เรื่องเดินทางมาถึงจุดสมมุติว่า ถ้าวันหนึ่งคนตายกลายเป็น Zombie โดย Akira เป็นคนที่รอดชีวิต และไม่ต้องทำงานอีกต่อไป Akira จะทำอะไรต่อไป

        มีเหตุการณ์หนึ่งที่ Akira ไม่สามารถช่วยเหลือรุ่นพี่สาว จากการเป็น Zombie ได้ ในระหว่างที่เค้ากำลังนั่งคิดเสียใจอยู่ เสียงหนึ่งของรุ่นพี่สาวคนนั้นก็ดังก้องขึ้นว่า "พวกเราทั้งนั้น ต่างก็ลืมกันหมดแหละ ว่าเราอยากทำอะไรจริงๆ"

        ตรงนี้เป็นจุดที่ผมสนใจมาก และอยากให้เพื่อนๆ ลองคิดตามนะครับ ว่า ณ วินาทีนี้ เราได้ทำอะไรได้ตามความต้องการที่แท้จริงของเราบ้าง หรือ ต้องรอให้ถึงเวลาใกล้ตาย แล้วค่อยทำ

        ผมเคยกลัวมากและไม่กล้าที่จะลาออกจากงานเก่า เพราะคิดว่าที่นั่นมั่นคง และ ปลอดภัย ผมทำงานได้ดี ไม่มีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน แต่ผมไม่ชอบลักษณะการทำงาน และ เงื่อนไขของการทำงาน และอยากเขียนใบลาออกวันละล้านรอบ

        จุดที่กล้าตัดสินใจ คือ ผมไม่อยากกลายเป็น Zombie ครับ (Zombie = คนตายทั้งเป็น สำหรับผม) ผมอยากเป็นคนที่ได้ตัดสินใจว่าตัวเองจะทำอะไร อยากทำอะไร และ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีรายได้ที่ดีเท่าเดิม แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่าผมสบายใจกว่าเดิม และไม่เสียใจเลย ที่ตัดสินใจแบบนั้น

        Akira เอง ก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน ว่าที่แท้จริงแล้ว ตัวเองอยากทำอะไรกันแน่ นำไปสู่การ List เป้าหมาย "ร้อยสิ่งที่อยากทำ ก่อนกลายเป็นซอมบี้"

        นี่เป็นเป็นอีก 1 เครื่องมือง่ายๆ สำหรับการใช้ Soft Skills ด้านการจัดการเวลา เพื่อบริหารเป้าหมายให้สำเร็จ ด้วยการใช้ To do list ครับ

        To do list คือการแจกแจง สิ่งที่จะทำ ที่อยู่ในสมองออกมาเป็นที่ละหัวข้อ เพื่อให้เราเห็นภาพของเป้าหมายชัดเจนมากขึ้น เมื่อเราอ่านสิ่งที่เขียน ก็จะพบว่าอะไร คือ สิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำ อยากหรือไม่อยาก กันแน่ และเมื่อทำเสร็จแล้ว ก็ขีดฆ่าแรงๆ ไป 1 ที เพราะนี่คือความสำเร็จตามเป้าหมายของเรานั่นเอง

        มี Application บนมือถือมากมายเลยครับ ที่มีลักษณะการทำงานแบบ To do list ซึ่งที่ผมใช้งานเป็นประจำ คือ Google calendar ครับ สามารถ Add Task งานออกมาเป็น List ที่เราต้องทำในแต่ละวัน, เดือน, ปี ได้ สามารถตั้ง Repeat ให้กับงานที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เพื่อให้ผมไม่หลงลืมได้ เช่น การจ่ายค่าน้ำไฟ, บัตรเครดิต และที่สำคัญ ผมมักจะกำหนดสิ่งที่อยากทำลงไปด้วย เมื่อผมมองเห็น ผมจะได้ไม่ลืมเป้าหมายของผมนั่นเอง

        1 ใน "ร้อยสิ่งที่อยากทำ ก่อนกลายเป็นซอมบี้" ของ Akira คือ การเปลี่ยนสีผม

เป็นอีก 1 ฉากที่ผมชอบครับ Akira ได้ลองเปลี่ยนสีผม ไป 2 ครั้ง และ สุดท้ายก็กลับมาที่สีเดิม ก็สีดำปรกติ

        สิ่งที่อยากทำ มันอาจจะไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้เสมอไป แต่ขอให้ได้ลองทำก่อน จะได้รู้ว่าชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งก็ยังดีกว่า ตายกลายเป็น Zombie ไปก่อน แล้วไม่ได้ลองทำ

        กลับมาที่เรื่องลาออกจากงานครับ ผมก็คิดแบบนี้แหละ อยากลาออกจากพนักงานประจำ ที่ทำงานแล้วมีโอกาสได้อยู่กับครอบครัวเพียงเดือนละ 4 วัน เปลี่ยนไปทำสวนผลไม้ เพราะชอบปลูกต้นไม้ ชอบเห็นการเจริญเติบโต และที่สำคัญได้อยู่กับครอบครัวที่มีลูกสาววัย 4 ขวบด้วย

        ปรากฎว่ารายได้หายลงไปครึ่งนึงครับ แต่ผมกลับรู้สึกว่า ชีวิตผมมีความสุขมากกว่าเดิม ยอมรับว่าสังคมหายไป เพราะไม่ค่อยได้เจอผู้คน แอบเหงาๆบางเวลา แต่สิ่งที่ได้มาเมื่อชั่งน้ำหนักแล้ว ผมกลับพอใจ และ ยังไม่อยากกลับไปเป็นพนักงานบริษัทในตอนนี้

        และเพื่อนๆละครับ หลังดู Zom 100 จบ คิดเห็นอย่างไร ยังอยากลาออกจากงานประจำที่ต้องเจอกับสภาพการทำงานและหัวหน้างานยอดแย่อยู่หรือไม่ หรือ อยากออกมาใช้ชีวิตตามความต้องการของตัวเอง ลองใช้ Soft Skill จัดการเวลา หยิบเครื่องมือ To do List มาเขียนซัก 100 ข้อ ดูซิว่าชีวิตนี้ ได้ทำตามที่ตัวเองต้องการมาแล้วกี่ข้อ แล้วมาร่วมแชร์ประสบการณ์ให้ฟังกันด้วยนะครับ


Reference :

- ภาพประกอบจาก Netflix

- Workpointtoday (2022) : https://shorturl.asia/WYEM6

- Positioning (2023) : https://shorturl.asia/OZLDV

Share:

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

เรียนรู้เร็วทำได้อย่างไร

 


    การเรียนรู้เร็ว คือ ทักษะที่ทำให้เราใช้ความสามารถของสมอง ในการจำ คิด และ ถ่ายทอด ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

    ปัจจุบันนี้การแข่งขันในตลาดแรงงานสูง เพื่อให้เรามีทักษะที่โดดเด่น ผมมองว่าการพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว จะเป็นส่วนสำคัญของพื้นฐานในการทำงาน ที่เราควรพัฒนา

    ผมได้ทำการศึกษาข้อมูลที่หลากหลายจากตำราและบนเว็บไซต์ เพื่อลดระยะเวลาให้ผู้ที่สนใจพัฒนาด้านการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว สามารถอ่านและเข้าใจโดยง่าย จึงได้คัดกรองเทคนิค 10 วิธีการที่ได้รับความนิยม นำมาสรุปประเด็นสำคัญและเสนอในรูปแบบของ Mind Map นี้

3 วิธีที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ นั้นคือ 1.การจำภาพแทนอักษร 2. การสอน 3.การพักผ่อน

1 ในวิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับผม คือการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพียง 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ก่อนหน้านี้ผมเคยทำงานเข้ากะกลางคืน การพักผ่อนที่ไม่เป็นเวลา ทำให้ผมรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีสมาธิ ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ หลังจากเปลี่ยนอาชีพ มาอยู่ในสายฝึกอบรม จำเป็นต้องพัฒนาด้านการเรียนรู้ จึงพยายามนอนให้เป็นเวลามากขึ้น ซึ่งทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนใดๆ แค่มีวินัยเท่านั้น ผลลัพธ์น่าทึ่งมากๆ ผมรู้สึกมีพลังกาย สมาธิมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่เอื้อต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

การสอนคนอื่นนั้น ผมมองว่าเป็นวิธีที่ทำให้เรียนรู้ได้รวดเร็วที่สุด เพราะนั่นหมายถึงเราต้องมีความสามารถในการสรุป เรียบเรียง และ ถ่ายทอดเพื่อให้คนอื่นเข้าใจ และเพื่อการนั้น คุณจะต้องพัฒนาและทำการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเตรียมการสอน

เริ่มจากง่ายๆ ทำสิ่งที่อยาก พัฒนาขึ้นวันละ 1% เท่านี้ก็ดีกว่าเมื่อวานแล้ว...

Reference

wealthmeup.com

learn.co.th

amarinbooks.com

medium.com

edugentutor.com

tuxsablog.skilllane.com


Share:

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

ทำไมเด็กโกหก

 

ทำไมเด็กชอบโกหก

มนุษย์เราโกหกราววันละ 10-200 ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการโกหกตัวเอง หรือ คนอื่น

    จะดีกว่ามั้ยครับ ถ้าวันนี้เราร่วมกันแก้ปัญหาที่สาเหตุ เริ่มกันตั้งแต่ลูกหลานของเรา ให้มีการพัฒนาทักษะ Soft Skills เช่น ความซื่อสัตย์ และ ความรับผิดชอบ ให้มากขึ้น

    ผมเองมีลูกสาววัย 5 ขวบ ยอมรับเลยว่ามีหลายครั้งที่เราดุว่า ลงโทษ เมื่อทราบว่าลูกโกหก ซึ่งหลังจากนั้นเค้าก็จะพยายามปกปิดสิ่งที่เค้าทำ เพราะกลัวเราลงโทษ หนึ่งในวิธีรับมือที่ผมใช้ ก็คือการสื่อสารกับลูกไปอย่างตรงไปตรงมา และร่วมมือแก้ไขปัญหาด้วยกัน ทำให้ลูกกล้าที่ยอมรับความจริงได้ดีขึ้นเมื่อผิดพลาด

    ความรู้นี้่ผมตั้งใจสรุปมาเป็น 1 Page Summary ของการโกหกที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก ทั้งช่วงอายุ สาเหตุ และ วิธีรับมือ สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมจาก Reference ด้านล่างได้ครับ

เริ่มจากง่ายๆ ทำสิ่งที่อยาก พัฒนาขึ้นวันละ 1% เท่านี้ก็ดีกว่าเมื่อวานแล้ว....

Refference

Share:

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

4 Mindset รับมือช่วงเศรษฐกิจถดถอย ทำอย่างไร คิดอย่างไร

Mindset เศรษฐกิจ

        เมื่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย เราควรทำอย่างไร คิดอย่างไร ในช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ทำให้เกิดภาวะว่างงาน มีการเลิกจ้าง ซึ่งเป็น ปัญหาที่เกิดอยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ระหว่างที่รอการฟื้นทูทางเศรษฐกิจนี้ Soft Skills 365 แนะนำให้มี Mindset เพื่อปรับทัศนคติรับมือกับวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

🤩 Mindset 1 ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์

    จัดการเวลาของคุณเพื่อการพัฒนาตนเองด้านต่างๆในชีวิต

  • วางแผนสุขภาพ
  • ใช้ความคิดสร้างสรรค์
    • ทำโครงการต่างๆ
    • เรียนรู้สิ่งใหม่
  • อ่านหนังสือ
  • เรียนออนไลน์
  • พัฒนาตนจุดแข็งของตนเอง
  • ทำสิ่งที่ตั้งใจแต่ไม่เคยมีเวลา

🤩 Mindset 2 ก้าวออกจาก Comfort Zone

  • รับความเสี่ยง เปิดใจลองทำสิ่งใหม่ และสำรวจโอกาสใหม่ๆ หรือ เริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง
  • คิดบวก และอย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ คำแนะนำ และการให้คำปรึกษาจากผู้อื่น

🤩 Mindset 3 Focus เฉพาะสิ่งที่ควบคุมได้

  • มุ่งเน้นสิ่งที่คุณสามารถควบคุมได้และปล่อยสิ่งที่คุณทำไม่ได้
    • การพัฒนาตนเอง
    • ทัศนคติ
  • เลิกกลัวความล้มเหลว ทำความคุ้นเคยกับการไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และเติบโต
  • เรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อการพัฒนา

🤩 Mindset 4 ลงทุนกับตัวเอง

·    ลงทุนด้านเงินและเวลา เพื่อการพัฒนาตนเอง เตรียมพร้อมรับเศรษฐกิจฟื้นตัว

Soft Skills 365 หวังว่าเพื่อนๆ จะได้ใช้ช่วงเวลาหยุดนี้ ให้เกิดประโยชน์ ช่วยเสริมให้เราเติบโต และเป็นการเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับความท้าทายต่างๆ ในอนาคต 

Share:

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เคลียร์โต๊ะทำงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทำงานได้จริง

วิธีจัดโต๊ะทำงาน

            รู้หรือไม่ครับว่า สิ่งของต่างๆ มากมายที่วางอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบบนโต๊ะทำงานของเรานั้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเราลดลงได้ โดยเจ้าสิ่งของที่ไม่สำคัญต่องานเหล่านี้ จะทำหน้าที่ในการแย่งชิงพื้นที่ทางสมองของเรา เบี่ยงเบนความสนใจจากงานของเราไป และ ทำให้เกิดความยุ่งยากในการหยิบจับอุปกรณ์ทำงานอีกด้วย ทั้งยังส่งผลต่ออารมณ์เชิงลบของเรา ให้รู้สึกเครียด ไม่สบายใจจากสภาพแวดล้อมการทำงานที่รกและยุ่งเหยิง 

★ควรแบ่งเวลาเพื่อจัดการความยุ่งเหยิงบนโต๊ะทำงานของคุณ
  1. แยกสิ่งที่ไม่สำคัญ หรือ ยังไม่มีความจำเป็นกับงานด่วน ที่ต้องทำให้เสร็จ ออกจากสายตาของคุณก่อน เพื่อเป็นการ Focus และทุ่มเวลาในการสนใจเฉพาะสิ่งที่ต้องทำอย่างไม่วอกแวก
  2. หมั่นทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้ดูน่าใช้งานอย่างสม่ำเสมอ คำนึงถึงการหยิบใช้อุปกรณ์ได้อย่างสะดวก ช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาสิ่งของ
  3. ลองเปลี่ยนไปใช้ปฏิทินใน App บนมือถือ หรือ ในเครื่อง Computor ของดูสิ บางทีคุณอาจได้พื้นที่ที่กว้างขึ้นสำหรับการวางเอกสารสำคัญ เร่งด่วนของคุณเพิ่มขึ้น แนะนำให้ Sync ข้อมูลด้วย Email ที่ต่างอุปกรณ์ไว้ เผื่อว่าอุปกรณ์ของคุณจะเสียหาย ทำให้ข้อมูลสูญหายไปด้วย
  4. เลือกเวลาตอนเย็นหลังเลิกงาน จะเป็นเวลาที่น่าจะดีที่สุด เพราะเวลานั้นคงไม่มีใครบังคับให้คุณทำอะไรเกี่ยวกับงานอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องรีบ ทำไปได้เรื่อยๆตามที่คุณวางแผนไว้เลย 
            การบริหารเวลาส่วนหนึ่งมาเพื่อให้ความสำคัญกับโต๊ะทำงานของคุณนั้น ทำให้คุณได้มีพื้นที่การทำงานที่สะอาด และ มีมุมผ่อนคลายด้วยของสวยงาม ที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจะช่วยเพิ่มความสบาย และรู้สึกมีความสุขต่องาน ส่งผลต่อแรงบันดาลใจใหม่ๆ อย่างแน่นอนครับ

Share:

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565

จัดการเวลานอนอย่างไร เพิ่มประสิทธิภาพให้งาน

บริหารเวลานอน

★ การนอนให้เพียงพอ สำคัญขนาดไหน

        รู้หรือไม่ครับว่า การพักผ่อนด้วยการนอนหลับที่ไม่เพียงพอนั้นส่งกระทบต่อร่างกายและจิตใจ คุณอาจรู้สึกอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ขาดสมาธิ ลุกลามไปจนถึงภาวะในการควมคุมอารมณ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมงานได้ ในขณะเดียวกันนั้น อาการง่วงระหว่างวัน อาจเป็นสาเหตุสู่การเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อีกด้วย 

        อ้างอิงบทความจาก คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รายงานว่าหากคุณนอนหลับไม่เพียงพอ ในระยะยาวสุขภาพของคุณ เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดสมองและโรคอ้วน

        ผลกระทบด้านงาน ในระดับผู้ป่วยจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอนั้น จะทำให้คุณไม่มีสมาธิในการทำงาน ความจำที่เปลี่ยนแปลง กระบวนการคิดและการตัดสินใจในการทำงานลดลง โดยเฉพาะงานที่ส่งผลโดยตรงต่อการนอนที่ไม่เป็นเวลา ควรใส่ใจเรื่องการจัดสรรเวลานอนให้มีคุณภาพมากขึ้น

        ทักษะการจัดการเวลา (Time Management) บางคนอาจจะมองว่าเป็นการจัดสรรเวลา จัดลำดับความสำคัญเฉพาะเนื้องานเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงความสำคัญในเรื่องเวลาพักผ่อนในแต่ละวันว่าเพียงพอหรือไม่ ซึ่งทำให้การพักผ่อนนั้นไม่ได้อยู่ในแผนชีวิตของใครบางคน

        สำหรับบทความนี้ SoftSkills365 อยากนำเสนอมุมมองของการใช้ทักษะ Time Management เพื่อจัดการเวลาอันมีค่าในชีวิตของทุกคน เพราะเราทุกคนต่างได้เวลาเท่าๆกันในทุกๆวัน แต่เรามักจะไม่วางแผนว่าจะใช้เวลาไปกับอะไร และอะไรกันแน่ที่เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรแบ่งเวลาอย่างเหมาะสม  ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเราเอง

💥 Hilight : วันที่ 18 มีนาคม ของทุกๆ คือวันนอนหลับโลก (The World Association of Sleep Medicine)

★ อะไรที่ทำให้นอนไม่หลับ
  • สภาพแวดล้อม เสียงรบกวน และ แสงสว่าง จะทำให้ยากต่อการนอนหลับ
  • อารมณ์เชิงลบ ความเครียด ความวิตกกังวล 
  • การรับประทานอาหาร ที่มากเกินไป หรือ อาหารที่มีคาเฟอีน ก่อนเข้านอน
  • ลักษณะของงานที่ส่งผลต่อการนอนที่ไม่เป็นเวลา เช่น การเข้าเวรกะดึก 
  • การตื่นตัวหลังจากการออกกำลังกายก่อนนอน 

 💥 Hilight : Slogan วันนอนหลับโลกปี 2022 คือ Quality Sleep, Sound Mind, Happy World.

นอนแค่ไหนถึงมีคุณภาพ

  • สำหรับเด็กแรกเกิดต้องการนอนมากกว่า 10-16 ชั่วโมง
  • เด็กวัยเรียน 8-10 ชั่วโมง 
  • วัยทำงาน 7-8 ชั่วโมง
  • วัยสูงอายุ อย่างน้อย 7 ชั่วโมง
ปรับพฤติกรรมการอย่างไร เพิ่มคุณภาพให้การนอน
  • ทุกวัน แนะนำให้ เข้านอน และ ตื่นนอนให้เป็นเวลา จนเป็นนิสัย
  • ไม่เกิน 30 นาที สำหรับการงีบหลับระหว่างวัน และไม่ควรเกิดขึ้นหลังบ่ายสามโมง
  • 4 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน ให้หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนัก และ อาหารที่ผสมคาเฟอีน
  • 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน ให้หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย
  • 1 ชั่วโมงก่อนนอน ควรเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การอ่านหนังสือ ฟังเพลงสบายๆ ไม่ตื่นเต้น
★ นอนอย่างมีคุณภาพ ช่วยเรื่องงานได้อย่างไร
  • ด้านอารมณ์ (Emotional) การพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำให้คุณมีสภาพจิตใจ และอารมณ์ดีขึ้น มีส่วนช่วยในการควบคุมอารมณ์ในที่ทำงาน มีสติ ลดภาวะการกระทบกระทั่งกับเพื่อนร่วมงานได้ จะเป็นผลดีในแง่ของความสัมพันธ์ภายในองค์กร
  • ประสิทธิภาพ (Performance) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ในผู้ใหญ่ขณะที่นอนหลับ ร่างกายจะผลิต Growth Hormone จะช่วยรักษาซ่อมแซมเซลล์สมอง เพื่อรักษาความจำ ส่งเสริมการรับรู้ และ ความจำที่ดีขึ้น และคงจะดีไม่น้อย ถ้าคุณเป็นหัวหน้าที่จำชื่อลูกน้องได้ทุกคน หรือ เป็นพนักงานที่รับคำสั่งจากเจ้านายได้อย่างไม่ตกหล่น
  • สุขภาพ (Health) แน่นอนว่าเมื่อสุขภาพดี ไร้โรค คุณจะพร้อมรับมือกับการทำงานที่ดีขึ้น คงไม่โอเคซักเท่าไหร่หากเรามาทำงาน 3 วัน ลาป่วย 2 วัน จากสาเหตุการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ  

Reference

www.med.cmu.ac.th

www.bangkokbiznews.com

www.hfocus.org

www.rajavithi.go.th

Share:

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2565

ดื่มเหล้าตอนไหนให้เป็นประโยชน์ต่องาน

ประโยชน์ของการดื่มเหล้า

★ ทำไมเหล้าจึงเป็นตัวร้ายในสายตาของใครหลายๆคน

        "เหล้า" ถูกมองว่าเป็นตัวร้ายในสังคม เป็นสิ่งที่ให้โทษ และไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว จากเหตุที่ดื่มในปริมาณที่ทำให้ไม่สามารถควมคุมตนเองได้ ขาดสติสัมปชัญญะ ทำให้เกิดคดีอาชญากรรมมากมาย และผลร้ายต่อผู้อื่น ในขณะเดียวกัน การดื่มในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของผู้ดื่มได้ในระยะยาว

          รัฐบาลไทยเองมองว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งที่ต้องควบคุม ถึงขนาดต้องใช้งบประมาณถึง 339.30 ล้านบาท เพื่อควบคุมขนาดและความรุนแรงของปัญหาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับแผนปฏิบัติการด้านควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2565-2570) หรือนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระยะเวลา 6 ปี และยังคงส่งเสริมและรณรงค์ลด ละ เลิกผ่านกิจกรรมต่างๆ ตลอดมาอย่างต่อเนื่อง

        ซึ่งในบทความต่อจากนี้ Soft Skills 365 ไม้ได้มีเจตนาในการส่งเสริม หรือสนับสนุน ชักจูง ให้ผู้อ่านดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการนำเสนอแง่มุมอีกด้าน ที่ให้เห็นถึงประโยชน์จากการดื่มเลี้ยงสังสรรค์ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ และนำเสนอแง่คิดเชิงบวกที่ได้จากการดื่ม

🍻 Tips : การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนอาหาร ส่งผลให้คุณอยากอาหารมากขึ้น

★ ทำไมเหล้าจึงได้รับความนิยมของคนส่วนใหญ่เพื่อใช้ในการเข้าสังคม

        เชื่อหรือไม่ว่าเหล้า ก็ยังเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมของคนส่วนใหญ่ เมื่อต้องเจอความทุกข์ ความเครียดจากการทำงาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวเลือกสำหรับหลายคน  เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ลดประสาทการรับรู้ ส่งผลช่วยคลายความรู้สึกเหล่านั้นลงได้ชั่วคราว ผลกระทบนี้จะเพิ่มความสนุกสนานครื้นเครงในการสนทนา ช่วยในการเข้าสังคมได้ไม่น้อย ทั้งยังเพิ่มโอกาสในการทำความรู้จักเพื่อนใหม่ รวมไปถึงโอกาสทางสังคมในด้านอื่น ๆ ด้วย

        สอดคล้องกับผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มในอังกฤษจำนวน 2,254 คน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป พบว่าในการดื่มแอลกอฮอล์ จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน ส่งผลให้พวกเขาพร้อมที่จะสนทนากับเพื่อนและกล้าที่จะพูดคุยกับคนไม่รู้จักในผับบาร์ ซึ่งการพูดคุยของพวกเขาได้สร้างผลที่ดีต่อการกระชับความสัมพันธ์ ทำให้รู้สึกมีความสุขในชีวิตมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเชื่อใจคนอื่นๆ ด้วย

        Soft Skills 365 มองว่าความนิยมในการกินเหล้า อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากรสชาติของเหล้า หรือ ปริมาณในการดื่มในแตละรอบ แต่เป็นเรื่องของ การดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่ดี ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาช่วยสนับสนุน เป็นตัวกระตุ้นความสนุกสนานให้เกิดขึ้น เพราะที่จริงแล้ว ผู้ชวนมาดื่มเค้าอาจจะไม่ได้ตั้งวัตถุประสงค์เพื่อให้คุณเมา แต่เค้าเจตนาให้คุณมาสนุกกับบรรยากาศ

🍻 Tips : ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงครึ่งวันของการทำงาน เพราะอาจทำให้ความสามารถในการทำงานของคุณลดลง เหมาะสำหรับใช้เพื่อการพักผ่อนเมื่อสิ้นสุดการทำงาน

★ ดื่มเหล้าตอนไหนให้เกิดประโยชน์ต่องาน

👍 ตกลงทางธุรกิจสำเร็จ

        ในกรณีที่มีการตกลงทางธุรกิจสำเร็จ และ ลูกค้าหรือ Partner ชวนคุณไปดื่มสังสรรค์เพื่อฉลอง คุณไม่ควรปฏิเสธโอกาสนี้ เพราะกิจกรรมการดื่มในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้คุณสร้างความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น เป็นเวทีที่จะให้คุณแลกเปลี่ยนข้อมูลหลากหลายด้านกับลูกค้าหรือ Partner ของคุณ

        การดื่มสังสรรค์แบบรู้เท่าทัน เป็นสิ่งที่ผู้ดื่มควรตระหนักรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการดื่ม เช่น เราไม่สามารถปฏิเสธการดื่มในการเลี้ยงสังสรรค์ขอบคุณลูกค้าคนสำคัญของบริษัทได้ เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กร และ ลูกค้า จึงถือว่าเป็นภารกิจที่จะต้องรับผิดชอบ การทำหน้าที่ในกิจกรรมนี้ หากปฏิเสธอาจทำให้บริษัทเสียลูกค้าสำคัญไปได้

        อีกแง่มุมหนึ่งถูกนำเสนอผ่าน หัวข้อคำสารภาพจาก "นักดื่มเหล้าเข้าสังคม" อย่างน่าสนใจในประเด็น ความเชื่อที่ว่า "คอแข็ง" จะได้เป็นลูกผู้ชาย หรือ "ผู้หญิงที่ต้องการเป็นผู้นำ" ต้องดื่มเหล้าให้ทัดเทียมกับผู้ชาย การพิสูจน์ตัวเองในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการดื่มที่ไม่รู้เท่าทัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว จะเป็นลูกผู้ชาย หรือ เป็นผู้นำ ก็ไม่ได้พิสูจน์ความสามารถจากการกินเหล้า

👍 หัวหน้าสั่ง

        อีกหนึ่งการดื่มที่เรามักจะหลีกเลี่ยงได้ยาก คือการดื่มเพื่อกระชับความสัมพันธ์ภายในองค์กร เราคงไม่สามารถปฏิเสธการชักชวนของหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงานได้ทุกครั้ง แต่เราควรกำหนดปริมาณการดื่มอย่างเหมาะสม และมี Mindset ในการเข้าร่วมอย่างชัดเจนว่า ต้องดื่มเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ไม่ใช่ดื่มจนกราฟแตก 

        การดื่มที่หนักมากจนเกินไป จะทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ ควบคุมพฤติกรรมไม่ได้ และอาจทำให้การดื่มในครั้งนั้นผิดวัตถุประสงค์ไป เช่น จากการที่จะชวนลูกน้องมาสร้างความสัมพันธ์ กลับกลายเป็นการดูโชว์หัวหน้างานเสียทรง เสียภาพพจน์ ลดความน่าเชื่อถือจากลูกน้องกันไป 

        ส่วนลูกน้องเองก็ต้องเข้าใจว่าหัวหน้าเองก็อยากให้ทุกคนรู้จักกันมากขึ้น ระหว่างที่ดื่ม ก็ใช้โอกาสนี้ในการแนะนำตัวเอง เชื่อมความสัมพันธ์ ด้วยการทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานใหม่ๆบ้าง หรือ เพิ่มความสนิทสนมกับเพื่อนเดิม พูดคุยในประเด็นอื่นๆ ที่เรายังไม่รู้ ซึ่งบริษัทเอง ก็คงไม่ให้งบประมาณมากมายหลายครั้งสำหรับการจัดเลี้ยงแบบนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาส จงใช้อย่างดี และเหมาะสม อย่าเมาจนขาดสติ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดก็อาจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ 

👍 อยากสนิทกับใครซักคน

        การทำความรู้จักกันในหลากหลายมิตินั้นทำได้ค่อนข้างยาก หากไม่สนิทใจ หรือไม่ไว้ใจ คุณอาจข้อดีของเหล้า สนับสนุนการดื่มสังสรรค์ เพื่อช่วยลดระยะห่าง ร่นเวลาที่ใช้สำหรับการสร้างความรู้จักได้อย่างรวดเร็ว บางคนอาจจะกล้าแสดงความคิดเห็น หรือ ความรู้สึกต่างๆ ขณะที่กำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่สนุก โอกาสนี้ คุณสามารถพูดคุยกันได้อย่างผ่อนคลาย และ ไม่กดดัน แต่ก็ควรระวังอย่าดื่มด่ำมากไปจนลืมเวลากลับบ้านล่ะ

🍻 Tips : ผู้นำที่ดื่มระหว่างการทำงาน อาจจะส่งผลเสียต่อภาพพจน์ ความน่าเชื่อถือของท่าน มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์

        การสร้างความสัมพันธ์ (Relationship) จึงเป็นอีกหนึ่ง Softskills ที่สำคัญ สำหรับชีวิตการทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคม มุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ในบทความนี้ Soft Skills 365 หวังว่าจะมีส่วนให้ผู้อ่าน นำประโยชน์ของเหล้าไปใช้ในการพัฒนาทักษะเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงานของคุณได้ ตราบเท่าที่คุณตระหนักรู้ว่า ดื่มครั้งนี้มีประโยชน์อย่างไรกับคุณ     

👉 Reference

mekhanews.com

สุรากับความเป็นมายาคติในบริบททางสังคมไทย

hfocus.org

pobpad.com

bangkokbiznews.com

👉 Credits

ภาพประกอบจาก Pixabay





Share:

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565

แค่มี Self Esteem สร้างรายได้หลัก 10 ล้านได้จริงหรือ?

Self Esteem คืออะไร

    
    Soft Skills ทักษะการเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self Esteem) สามารถสร้างอาชีพให้มีรายได้หลักล้าน ได้อย่างไร

        เรื่องเล่าจาก หนุ่มชาวญี่ปุ่นวัย38 ปี โชจิ โมริโมโตะ  เริ่มต้นอาชีพจากการถูกเพื่อนร่วมงานวิจารณ์ว่าเขามักจะไม่ทำอะไรเลย ในที่ทำงาน ส่งผลต่อความรู้สึกด้านลบของเค้า เค้าเริ่มด้อยค่าตัวเอง และรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับการทำอะไรในที่ทำงานนั้น

        หลังจากนั้น เค้าเริ่มสงสัยในตัวเองว่า "จะเกิดอะไรถ้าผมเอาด้านที่ไม่ทำอะไรมาใช้" ปรับทัศนคติเชิงบวกเปลี่ยนจุดด้อย มาเป็นจุดขาย เริ่มเห็นถึงคุณค่าของตัวเอง ว่าการอยู่เฉยๆ ก็มีประโยชน์ต่อคนอื่น ในแง่ของความสบายใจ การระบายความเครียด ซึ่งในญี่ปุ่นเอง ก็การบริการในลักษณะนี้

        จึงเริ่มเริ่มให้บริการ "ให้เช่าตัวเองไป โดยไม่ต้องทำอะไร" เช่น การไปอยู่เป็นเพื่อน อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ แค่เป็นผู้ฟังที่ดีก็พอ (ไม่รวมถึงการใช้แรงงาน หรือ ร่วมเพศ เพราะเงื่อนไขคือ "ไม่ทำอะไร") 

        ตลอดการให้บริการตั้งแต่ปี 2018-2022 ทำให้เค้ามีรายได้รวมกว่า 10 ล้านบาทแล้ว โดยปัจจุบันให้บริการลูกค้าถึง 3 คนต่อ 1 วัน คิดค่าบริการครั้งละ 2,500 บาท (10,000 เยน) ไม่นับรวมค่าอาหาร และ ค่าเดินทาง และยังคงได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  

★ Self esteem คืออะไร 

        ทัศนคติต่อตัวเอง ในด้านความพึงพอใจในตนเอง ความเห็นคุณค่าในตัวเอง สามารถที่จะรับมือกับอารมณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยเชื่อว่าตนเองมีคุณค่า จนกระทั่งเกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง และใช้ความกล้าผลักดันสู่การสร้างสิ่งใหม่ ๆ ไปจนถึงการมีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเอง

        อย่าปล่อยให้ Self Esteem ต่ำเพราะจะทำให้เราไร้แรง ไร้พลังใจ การที่เราไม่เห็นถึงคุณค่าในตัวเองนั้น ลองสังเกตุตัวคุณดูว่าคุณมักจะโทษตัวเองอยู่บ่อยเสมอๆ หรือรู้สึกเกลียดตัวเอง ไม่ค่อยจะเห็นข้อดีของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ถ้าปล่อยไว้อาจผลักดันคุณเข้าสู่โรคภาวะซึมเศร้าได้ในภายหลัง  

        เมื่อ Self Esteem เป็น Skills (ทักษะ) นั่นหมายถึงทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ดังนั้นอาจเริ่มต้นง่ายๆ จากการ Self-Awareness (การสำรวจตัวเอง) เริ่มทำความรู้จัดกับ อารมณ์ พฤติกรรม ความคิด ของตนเองก่อน มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง ไม่แน่ คุณอาจจะพัฒนาจุดด้อยของคุณ แล้วกลายเป็นบริการหลักล้านอย่างคุณโชจิ ก็ได้ครับ  

Reference

https://www.bbc.com/thai

www.pobpad.com

https://blog.startdee.com










Share:

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2565

3 เทคนิคเพิ่ม Soft Skills บน Resume เพื่อพิชิตใจนายจ้างยุคใหม่


    
    สำหรับ คนที่กำลังมองหางานใหม่ วันนี้เรามาเรียนรู้การเขียนใบสมัครงาน แบบที่เพิ่มทักษะ Soft Skills เจ๋งๆ ลงบน Resume ของเรากันครับ เพื่อเพิ่มโอกาสในการพิจารณาเข้าทำงานได้อย่างดีเลยครับ เพราะยุคนี้ Soft Skills ถือเป็นทักษาะที่สำคัญระดับต้นๆ ที่นายจ้างใช้เพื่อประกอบการพิจารณารับเข้าทำงาน  

        สำนักข่าว CNBC ได้รายงานว่า ปัจจุบันนี้องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของพนักงานที่มีทักษะ Soft Skills  โดยมีมากถึง 6 ล้านต่ำแหน่งที่ Focus เรื่องของทักษะ Soft Skills ด้านการสื่อสาร (Communication) และ มีมากถึง 5.5 ล้านตำแหน่ง ที่ต้องการทักษะด้านการให้บริการลูกค้า และมีอีก 5 ล้านตำแหน่งสำหรับ ทักษาะด้านการจัดกำหนกการ ข้อมูจาก ZipRecruiter 

         Soft Skills 365 วันนี้ จะนำเสนอ 3 เทคนิคการอธิบายทักษะ Soft Skills ให้คุณเรียนรู้การเขียน Resume ให้น่าสนใจ อย่างมืออาชีพ

1. ใช้หัวข้อบรรยายตำแหน่งหรือประสบการณ์ให้ถูกความหมาย

        ใบสมัครงานของคุณนั้นมีหลายส่วน หนึ่งในนั้นคือส่วนของตำแหน่งงาน และ ประสบการณ์ ซึ่งเราจะเขียนทักษะ Soft Skills ในส่วนนี้ สิ่งสำคัญคือ การเขียนรายละเอียดที่เป็นความจริง

  • มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการเรียกตัวเองว่า "เด็กฝึกงาน" หรือ "เด็กฝึกงานด้านโซเชียลมีเดีย"
  • การระบุตำแหน่งว่าเป็น "นักวิเคราะห์" หรือ "ผู้จัดการโครงการ" มีความแตกต่างกันมาก 
  • ระหว่างที่เราเรียกตัวเองว่า "ผู้จัดการ" หรือ "ผู้จัดการด้านการสื่อสาร" ก็แตกต่างกัน

        แต่ละชื่อตำแหน่งเหล่านี้แสดงให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของงานที่พิสูจน์ว่าคุณมีประสบการณ์บางอย่าง “แม้เพียงคำเดียว เช่นระหว่าง "การสื่อสาร" , "โซเชียลมีเดีย", "โครงการ" , 'ผลิตภัณฑ์' หรือ 'แผนก' ก็สามารถช่วยให้ผู้คนมองเห็นภาพในใจว่าคุณต้องรับผิดชอบอย่างไรจริงๆ” 

        ให้ลองนึกย้อนกลับไปถึงประสบการณ์การทำงานของคุณสำหรับแต่ละบทบาทที่คุณร่างไว้ และพิจารณาคำ เพิ่มเติมที่ถูกต้องและแม่นยำสักหนึ่งหรือสองคำที่อธิบายสิ่งที่คุณทำ และสิ่งที่คุณทำได้ใช้หัวข้อบรรยายให้ถูกความหมาย

2. เพิ่มสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย ให้เห็นตัวอย่างทักษะ Soft Skills ของคุณ

        พื้นที่ประวัติย่อเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สามารถใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงทักษะ Soft Skills ของคุณ คือ คุณสามารถเพิ่มสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย (Bullet Point) ภายใต้ตำแหน่งงานแต่ละตำแหน่ง ซึ่งให้อธิบายตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ของสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จ ในแต่ละหัวข้อย่อยสามารถพูดถึงทักษะ Soft Skills ที่นายจ้างต้องการ โดยเฉพาะในรายละเอียดงานหรือที่คุณคิดว่า Soft Skills ของคุณเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่นั้นๆ

        ตัวอย่างเช่น คุณต้องการเน้นทักษะ Soft Skills ด้านการสื่อสาร และ คุณทำงานตำแหน่ง SEO (search engine optimization) หัวข้อย่อยอาจกล่าวได้ประมาณว่า “ ฉันสรุปการใช้ keyword เพื่อการสืบค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ให้กับลูกค้าจำนวน 30 ราย ส่งผลให้มีการเข้าชมเว็บไซต์ของพวกเข้าเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 30%"

        Bullet Point จะทำหน้าที่เน้นถึงความสำเร็จที่ผ่านมา จากการใช้ Soft skills  ด้านการสื่อสารที่ดี ทำให้การนำเสนอของคุณประสบความสำเร็จอย่างชัดเจนในการช่วยให้ลูกค้าของคุณเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม ซึ่งจะช่วยพิสูจน์ได้ว่าคุณเป็นนักสื่อสารที่ดี

3. ใช้การอธิบายเกี่ยวกับงานที่ กระชับได้ใจความสำคัญ

        โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงการสื่อสาร วิธีการเขียนใบสมัครงานของคุณ อาจพิสูจน์ได้ว่าคุณเป็นนักสื่อสารที่ดี 
        “คุณบรรยาย หรือ เล่าเกี่ยวกับงานว่าอย่างไร” เป็นประโยคที่ซ้ำซาก ซับซ้อน วนวน ยืดยาว หรือไม่ ลองเขียนบรรยายถึงอาชีพการงานซ้อมลงบนกระดาษก่อน และ เลือกการสื่อสารดีที่สุดเขียนลงบน Resume พร้อมตัวอย่างการทำงานที่ชัดเจนและปราศจากคำพูดที่มากเกินไปสามารถ แสดงให้นายจ้างเห็นว่าอย่างน้อยที่สุด คุณได้ฝึกฝนทักษะการเขียนของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสื่อสารในแต่ละวันในรูปแบบต่างๆ

Reference
Share:

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565

รับมือกับทัศนคติ Quiet Quitting หนึ่งใน Diversity ที่ผู้นำต้องทราบ


    
    Soft Skills 365 วันนี้เราจะมาคุยกันถึงความหลากหลาย (Diversity) ด้านทัศนคติ ของพนักงานของเรา ที่อาจจะเกิดขึ้นในองค์กรแล้ว แต่ผู้นำอาจยังไม่ทันสังเกตุเห็น ในฐานะผู้นำเราจึงต้องพยายามทำความเข้าใจความคิดของพนักงาน เพื่อหาวิธีจัดการ ไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกันในภายหลังได้ 

★ Quiet Quitting คืออะไร

        ทัศนคติของบุคคล ที่มีความคิดว่าจะทำงานเฉพาะหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น คือการเลิกทำเกินหน้าที่ หรือ ไม่รับงาน อาสาใดๆ ด้วยเหตุผลที่รู้สึกว่าเหนื่อยล้าจากการทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน จากการทำงานเกินหน้าที่ โดยมีแนวคิดคือ "การทำงานรักษาใจตนเอง และ การทำงานตามเงินเดือนที่ได้"  การทำงานที่มากเกินกว่าหน้าที่ อาจจะนำพาไปปัญหาหมดการทำงาน (Burnout) ในการทำงานได้   

        ผู้ใช้ TikTok (ติ๊กต็อก) ที่ชื่อ @zaidlepplin กล่าวว่า "งานไม่ใช้ชีวิตของคุณ" ได้โพสเนื้อหาที่มีแนวคิดเกี่ยวกับ Quiet Quitting จนเป็นกระแสโด่งดังใน Tiktok

★ Quiet Quitting จะส่งผลอย่างไรกับผู้ที่มีแนวคิดนี้

        มุมมองจาก Soft Skills 365 ถึง Quiet Quitting ก็สามารถใช้เป็นแนวคิด เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟจากการทำงานลงได้ อาจเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริหารเห็นว่า ควรให้ความเป็นธรรมในการจ่ายค่าตอบแทน สำหรับการจ้างงานที่เกินกว่าขอบเขตการทำงานหลัก ทั้งนี้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับพนักงาน ที่เสียสละใช้เวลาส่วนตัวมาปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ขององค์กร 

        อีกมุมมองที่น่าสนใจจาก แพตตี อาห์ไซ ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทในที่ทำงาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า หากมีแนวคิดแบบ Quiet Quitting คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เพราะ Quiet Quitting คือการทำงานที่น้อยที่สุด ตามตำแหน่งงานของคุณที่กำหนดไว้ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะไม่ได้มาจากคนที่ทำงานขั้นต่ำอย่างแน่นอน

Reference

https://www.bbc.com/thai/international-62783704

Share:

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2565

Check สัญญาณบ่งบอกว่าคุณต้องพัฒนาทักษะการจัดการเวลา (Time Management) แล้วล่ะ

        ทักษะการจัดการเวลา (Time Management) ถือเป็นอีกหนึ่งใน Soft Skills ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ทั้งส่วนตัวและร่วมกับผู้อื่น เป็นทักษะที่พวกเราส่วนใหญ่สามารถใช้เพื่อช่วยในการปรับปรุงและพัฒนา จัดการเวลาให้กับตนเองอย่างง่ายๆ มาเริ่มต้นจากการ Self-Awareness ตัวเองดูว่ามีสัญญาณเหล่านี้เกิดขึิ้นกับคุณแล้วหรือไม่ ถ้ามีต้องคุณคงต้องเริ่มใส่ใจที่จะศึกษาหลักการจัดการเวลา Upgrade Skill :  Time Management  ของคุณแล้วล่ะ


★ 8 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณจำเป็นต้องพัฒนา ความสามารถและนิสัยในการจัดการเวลาของคุณ 

  1. ความฝันของคุณ ในระยะยาวดูเหมือนจะทำได้ยาก
  2. มักจะทำงานได้ไม่ตรงตามกำหนด
  3. ขาดสมาธิและ ขาดความพยายามที่จะทำให้สำเร็จ
  4. มีงานที่ล้นหลาม
  5. พิจารณาแล้ว ว่าคุณไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้ทั้งหมด
  6. ใช้เวลาทำงานเกินกว่าที่จำเป็น
  7. มักจะเครียดอยู่เสมอ
  8. คุณรู้สึกว่ากำลังพยายามอย่างหนักแต่ไปไม่ถึงไหน
★ 3 กลยุทธ์การบริหารเวลา พัฒนาความสามารถด้านบริหารเวลา 

1. ตั้งเป้าหมาย (Set objectives)
        คุณมักจะหลุดออกจากเป้าหมาย เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป อาจเกิดขึ้นจากในทุกๆวันของคุณ ได้เจองานแทรกหรือปัญหาที่เข้ามาระหว่างวัน จึงต้องจัดลำดับและให้ความสำคัญกับประเด็นที่เร่งด่วนที่สุดมาก่อนเสมอ
        ดังนั้น คุณควรทบทวนเป้าหมายของคุณอยู่เสมอ หรือใช้วิธีการตั้งเป้าหมายด้วยหลักการ SMART จะช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง วัดได้ ทำได้จริง/เกี่ยวข้อง และอิงตามเวลา 
        การตั้งเป้าหมายที่ยากจนเกินไป จะทำให้คุณล้า และเกิดการท้อใจระหว่างทาง

2. วางแผน (Plan your time)
        การใช้เวลาอย่างมีจุดมุ่งหมายหมาย และเราควรเป็นคนควบคุมเวลาของเราด้วยตนเอง อย่าให้ใครมาควบคุม ทำให้การจัดการเวลาจนเป็นนิสัย อาจช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ในระยะยาว ควรลดความวอกแวก และหันกลับมา Focus เป้าหมาย เช่น ปฏิเสธการเข้าประชุมในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ หรือ วางแผนการใช้เวลาของคุณอย่างชัดเจน ว่าวันนี้จะต้องทำอะไรบ้าง ใช้เวลาเท่าไหร่ในการทำ พยายามให้เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้
        เมื่อวางแผนเวลาของเราแล้ว ให้คำนึงว่ากำหนดการของเรานั้น จะแตกต่างจากผู้อื่น จะช่วยคุณได้ เช่น คุณจะสามารถแจ้งเพื่อนร่วมงานของคุณล่วงหน้าได้ เมื่อคุณไม่ต้องการถูกรบกวนในช่วงเวลาใด หรือ มีแผนที่จะไปทำธุุระส่วนตัว การทราบแผนล่วงหน้า จะช่วยลดโอกาสเกิดความขัดแย้งกับผู้ร่วมงานได้

3. แบ่งเวลา (Plan time chunks)
        การแบ่งเวลา เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการจัดลำดับความสำคัญ ของเป้าหมายระยะยาวที่ไม่เร่งด่วน ซึ่งต้องใช้ความใส่ใจและเวลาจำนวนมาก
  • พักเป้าหมายใหญ่ไว้ก่อน เมื่อมีเหตุการณ์ที่เร่งด่วนมากกว่า มากระตุ้นให้คุณต้องทำก่อน
  • แบ่งเวลา เพื่อเน้นทำงานที่มั่นใจได้ว่าส่งผลถึงความก้าวหน้า
  • จำกัดเวลาในการทำงาน จะช่วยลดความเมื่อยล้าจากงานอีกด้วย
กำหนดการประชุมจากส่วนกลาง จะช่วยให้พนักงานสามารถวางแผนจัดการเวลาของพนักงานได้

Reference
Share:

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2565

8 ไอเดียพัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร (Diversity Management in Workplace)

★ ความหลากหลายในองค์กร (Diversity in Workplace)

        ความหลากหลาย (Diversity) ของผู้คนที่เกิดขึ้นในองค์กรนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ เช่น ความแตกต่างด้าน เพศ อายุ ระดับการศึกษา บุคลิกภาพ ทัศนคติ เป็นต้น ปัญหาคือ ความหลากหลายที่เกิดขึ้น ก็มักจะตามมาด้วยความต้องการของแต่ละบุคคลที่ต่างกันอีก ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง และ การแบ่งแยก ของพนักงานในองค์กรได้ 

        ฉะนั้นแล้วการศึกษความหลากหลายได้ถึงในระดับแต่ละบุคคล จะทำให้เราวางแผนจัดการบริหารบุคคล เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการ และสร้างแรงจูงใจ โน้มน้าวให้พวกเขา ทำงานตามเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   

★ ประโยชน์ของความหลากหลายที่เกิดขึ้นในองค์กร

        การร่วมมือกันทำงาน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวขององค์กรของคุณ พนักงานที่รู้สึกมีค่าและเป็นที่ยอมรับนั้น จะมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้น มีการผลิตชิ้นงานสูงขึ้น และอยู่กับบริษัทได้นานขึ้น ส่งผลต่อภาพรวมทางธุรกิจค่อยๆดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป

"บริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมมากกว่า มีโอกาส 36% ที่จะได้รับผลกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น" (McKinsey & Company)

        ทีมงานที่มีความหลากหลาย จะมีนวัตกรรมมากขึ้น เพราะพวกเขาจะนำพรสวรรค์ ทักษะ ประสบการณ์ และมุมมองที่หลากหลายมาสู่งาน เมื่อคุณรวมสิ่งนี้เข้ากับพนักงาน และเปิดโอกาสให้พนักงานไม่กลัวที่จะมีส่วนร่วม มีความคิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหา และการแสดงความเห็น คุณจะเห็นว่า เกิดการมีส่วนร่วมของพนักงานเพิ่มขึ้น และผลลัพธ์จากการทำงานเพิ่มขึ้น สิ่งนี้จะนำไปสู่การว่าจ้างที่ดีขึ้น จะดึงดูดผู้มีความสามารถเข้ามาทำงานให้บริษัทเราได้มากขึ้น HR สามารถจ้างพนักงานที่มีคุณภาพสูงได้

        ด้วยความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ คุณจะได้ 8 เทคนิคพัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร ที่ส่งผลต่อการเพิ่มพนักงานให้เกิดความหลากหลาย และ รักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กรไปได้ในระยะยาว


★ 8 ไอเดียสร้างสรรค์พัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร 

1. การรับรู้และรับทราบ (Awareness and Acknowledgement)

        ต้องตระหนักรู้ว่ามีความหลากหลายเกิดขึ้นในองค์กรของคุณ รู้ถึงปัญหาก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องพูดคุยกับพนักงานของคุณให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก เพื่อให้คุณสามารถสร้างแผนเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของพวกเขาได้ดีขึ้น

2. ยอมรับและเห็นคุณค่าความแตกต่างทั้งหมด (Accept and value all differences)

        ยอมรับและเห็นคุณค่าความสามารถของพนักงานทุกคนโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง วิธีง่ายๆ ในการแสดงให้พนักงานเห็นว่าคุณชื่นชมพวกเขาทุกวันคือเพียงแค่มีส่วนร่วมในการสนทนาและรับฟังพวกเขา ทำความรู้จักกับพนักงานของคุณเป็นการส่วนตัว เมื่อพนักงานรู้สึกมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับ พวกเขาจะทำอย่างสุดความสามารถ

3. เปลี่ยนภาษาของคุณ (Change your language)

        ให้ความกระจ่างชัดต่อพนักงาน และผู้สมัครงาน ถึงการให้ความสำคัญกับความหลากหลายในที่ทำงาน รวมถึงสร้างการสื่อสารถึงการมุ่งเน้นเรื่องความหลากหลายให้อยู่ในทุกที่ เช่น คู่มือพนักงาน สัญญาจ้าง การว่าจ้าง เอกสารการปฐมนิเทศ และเอกสารอื่นๆ ของบริษัท

4. กำหนดนโยบายความหลากหลาย (Establish diversity policies)

        กำหนดนโยบายความหลากหลายให้ครอบคลุม โดยสิ่งที่ต้องมี ได้แก่ เพศ การล่วงละเมิดทางเพศ ความสามารถ ความพิการ เชื้อชาติ ศาสนา และรสนิยมทางเพศ นี่คือตัวอย่างนโยบายความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมจาก SHRM (Society for Human Resource Management องค์การด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่มีสมาชิกจาก 160 ประเทศทั่วโลก)

5. จ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม (Pay attention to pay equity)

        ใส่ใจในจ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม เมื่อมีการเลื่อนตำแหน่ง หรือ การทำงานนอกสถานที่ ให้จ่ายค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ให้ตำแหน่งและความรับผิดชอบที่สูงขึ้น แต่เงินเดือนเท่าเดิม หรือ ให้ไปทำงานต่างจังหวัด จากบ้านเกิดของพนักงานไป แต่รายได้เท่าเดิม ต้องพิจารณาถึงบริบทของการทำงานที่แตกต่างกันไปจากเดิม

6. รับสมัครงานจากการแนะนำ (Hiring through referrals)

        ส่งเสริมให้พนักงานปัจจุบันของคุณ แนะนำเพื่อนของพวกเขา โดยใช้การเน้นย้ำว่า องค์กรของเราให้ความสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลาย จะวิธีที่ดีในการดึงดูดผู้สมัครที่หลากหลาย การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการแนะนำโดยพนักงานนั้น เป็นแหล่งของการหาพนักงานใหม่ที่ดี

7. พัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรม (Develop Diversity & Inclusion Training Programs)

        จัดให้มีการฝึกอบรมความหลากหลายและการรวมกลุ่มสำหรับทุกระดับในองค์กรของคุณ โดยเริ่มต้นจากตำแหน่งผู้นำก่อน เพื่อให้พวกเขาเปิดทางและช่วยพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมของคุณ

        การฝึกอบรมควรส่งเสริมเรื่องการมีอคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (unconscious bias) และในการฝึกอบรมนั้นให้เป็นการเข้าร่วมกิจกรรมโดยสมัครใจ และออกแบบหลักสูตรให้สามารถใช้ได้กับทุกคนในองค์กร เพื่อให้ได้รับการส่งเสริมจากทุกคนในองค์กรของคุณ

8. การทำงานที่ยืดหยุ่น (Institute flexible working arrangements)

        สร้างนโยบายการลาที่ยืดหยุ่น เสนอวันหยุดที่ยืดหยุ่นได้ เพื่อให้พนักงานสามารถเฉลิมฉลองวันหยุดและกิจกรรมที่สำคัญต่อพวกเขาได้ 

Highlight : 74% ของคน Gen Yเชื่อว่าองค์กรจะมีนวัตกรรมมากขึ้นเมื่อมีการส่งเสริมวัฒนธรรมของความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก

"ทุกคนต่างมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน และไม่มีใครบรรลุเป้าหมายในชั่วข้ามคืน"

        การสื่อสารภายในองค์กรควรทำให้เห็นชัดเป็นรูปธรรม ถึงการให้ความสำคัญต่อความหลากหลายในองค์กร ได้อย่างบ่อยครั้ง และมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น กำหนดอยู่ในนโยบาย วาระการประชุม การปฐมนิเทศ จะช่วยแสดงให้เห็นว่าองค์กรของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างไร ตราบเท่าที่คุณคอยดูข้อมูลของคุณอย่างใกล้ชิดและวัดความคืบหน้า เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาองค์กรต่อไป

Reference

https://www.hrdive.com/spons/10-initiatives-to-improve-diversity-in-the-workplace/629941/

http://lyksoomu.com/CkFy


Share: