ฝึกทักษะ Softskills ด้วยความรู้ ทางจิตวิทยา วิทยาศาสตร์ งานวิจัย เทคนิค วิธีการต่างๆ คำคมพลังบวก คำคมคนดัง แคปชั่นเด็ดๆ แคปชั่นทำงาน เพื่อการพัฒนาตนเอง

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2565

ดื่มเหล้าตอนไหนให้เป็นประโยชน์ต่องาน

ประโยชน์ของการดื่มเหล้า

★ ทำไมเหล้าจึงเป็นตัวร้ายในสายตาของใครหลายๆคน

        "เหล้า" ถูกมองว่าเป็นตัวร้ายในสังคม เป็นสิ่งที่ให้โทษ และไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว จากเหตุที่ดื่มในปริมาณที่ทำให้ไม่สามารถควมคุมตนเองได้ ขาดสติสัมปชัญญะ ทำให้เกิดคดีอาชญากรรมมากมาย และผลร้ายต่อผู้อื่น ในขณะเดียวกัน การดื่มในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของผู้ดื่มได้ในระยะยาว

          รัฐบาลไทยเองมองว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งที่ต้องควบคุม ถึงขนาดต้องใช้งบประมาณถึง 339.30 ล้านบาท เพื่อควบคุมขนาดและความรุนแรงของปัญหาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สำหรับแผนปฏิบัติการด้านควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระดับชาติ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2565-2570) หรือนโยบายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระยะเวลา 6 ปี และยังคงส่งเสริมและรณรงค์ลด ละ เลิกผ่านกิจกรรมต่างๆ ตลอดมาอย่างต่อเนื่อง

        ซึ่งในบทความต่อจากนี้ Soft Skills 365 ไม้ได้มีเจตนาในการส่งเสริม หรือสนับสนุน ชักจูง ให้ผู้อ่านดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการนำเสนอแง่มุมอีกด้าน ที่ให้เห็นถึงประโยชน์จากการดื่มเลี้ยงสังสรรค์ เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ และนำเสนอแง่คิดเชิงบวกที่ได้จากการดื่ม

🍻 Tips : การดื่มแอลกอฮอล์ก่อนอาหาร ส่งผลให้คุณอยากอาหารมากขึ้น

★ ทำไมเหล้าจึงได้รับความนิยมของคนส่วนใหญ่เพื่อใช้ในการเข้าสังคม

        เชื่อหรือไม่ว่าเหล้า ก็ยังเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมของคนส่วนใหญ่ เมื่อต้องเจอความทุกข์ ความเครียดจากการทำงาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นตัวเลือกสำหรับหลายคน  เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ลดประสาทการรับรู้ ส่งผลช่วยคลายความรู้สึกเหล่านั้นลงได้ชั่วคราว ผลกระทบนี้จะเพิ่มความสนุกสนานครื้นเครงในการสนทนา ช่วยในการเข้าสังคมได้ไม่น้อย ทั้งยังเพิ่มโอกาสในการทำความรู้จักเพื่อนใหม่ รวมไปถึงโอกาสทางสังคมในด้านอื่น ๆ ด้วย

        สอดคล้องกับผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่มในอังกฤษจำนวน 2,254 คน ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป พบว่าในการดื่มแอลกอฮอล์ จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน ส่งผลให้พวกเขาพร้อมที่จะสนทนากับเพื่อนและกล้าที่จะพูดคุยกับคนไม่รู้จักในผับบาร์ ซึ่งการพูดคุยของพวกเขาได้สร้างผลที่ดีต่อการกระชับความสัมพันธ์ ทำให้รู้สึกมีความสุขในชีวิตมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะเชื่อใจคนอื่นๆ ด้วย

        Soft Skills 365 มองว่าความนิยมในการกินเหล้า อาจไม่ได้เกิดขึ้นจากรสชาติของเหล้า หรือ ปริมาณในการดื่มในแตละรอบ แต่เป็นเรื่องของ การดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่ดี ที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาช่วยสนับสนุน เป็นตัวกระตุ้นความสนุกสนานให้เกิดขึ้น เพราะที่จริงแล้ว ผู้ชวนมาดื่มเค้าอาจจะไม่ได้ตั้งวัตถุประสงค์เพื่อให้คุณเมา แต่เค้าเจตนาให้คุณมาสนุกกับบรรยากาศ

🍻 Tips : ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงครึ่งวันของการทำงาน เพราะอาจทำให้ความสามารถในการทำงานของคุณลดลง เหมาะสำหรับใช้เพื่อการพักผ่อนเมื่อสิ้นสุดการทำงาน

★ ดื่มเหล้าตอนไหนให้เกิดประโยชน์ต่องาน

👍 ตกลงทางธุรกิจสำเร็จ

        ในกรณีที่มีการตกลงทางธุรกิจสำเร็จ และ ลูกค้าหรือ Partner ชวนคุณไปดื่มสังสรรค์เพื่อฉลอง คุณไม่ควรปฏิเสธโอกาสนี้ เพราะกิจกรรมการดื่มในครั้งนี้ จะเปิดโอกาสให้คุณสร้างความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้น เป็นเวทีที่จะให้คุณแลกเปลี่ยนข้อมูลหลากหลายด้านกับลูกค้าหรือ Partner ของคุณ

        การดื่มสังสรรค์แบบรู้เท่าทัน เป็นสิ่งที่ผู้ดื่มควรตระหนักรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการดื่ม เช่น เราไม่สามารถปฏิเสธการดื่มในการเลี้ยงสังสรรค์ขอบคุณลูกค้าคนสำคัญของบริษัทได้ เนื่องจากมีวัตถุประสงค์ในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กร และ ลูกค้า จึงถือว่าเป็นภารกิจที่จะต้องรับผิดชอบ การทำหน้าที่ในกิจกรรมนี้ หากปฏิเสธอาจทำให้บริษัทเสียลูกค้าสำคัญไปได้

        อีกแง่มุมหนึ่งถูกนำเสนอผ่าน หัวข้อคำสารภาพจาก "นักดื่มเหล้าเข้าสังคม" อย่างน่าสนใจในประเด็น ความเชื่อที่ว่า "คอแข็ง" จะได้เป็นลูกผู้ชาย หรือ "ผู้หญิงที่ต้องการเป็นผู้นำ" ต้องดื่มเหล้าให้ทัดเทียมกับผู้ชาย การพิสูจน์ตัวเองในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการดื่มที่ไม่รู้เท่าทัน เพราะในความเป็นจริงแล้ว จะเป็นลูกผู้ชาย หรือ เป็นผู้นำ ก็ไม่ได้พิสูจน์ความสามารถจากการกินเหล้า

👍 หัวหน้าสั่ง

        อีกหนึ่งการดื่มที่เรามักจะหลีกเลี่ยงได้ยาก คือการดื่มเพื่อกระชับความสัมพันธ์ภายในองค์กร เราคงไม่สามารถปฏิเสธการชักชวนของหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงานได้ทุกครั้ง แต่เราควรกำหนดปริมาณการดื่มอย่างเหมาะสม และมี Mindset ในการเข้าร่วมอย่างชัดเจนว่า ต้องดื่มเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ไม่ใช่ดื่มจนกราฟแตก 

        การดื่มที่หนักมากจนเกินไป จะทำให้ขาดการยับยั้งชั่งใจ ควบคุมพฤติกรรมไม่ได้ และอาจทำให้การดื่มในครั้งนั้นผิดวัตถุประสงค์ไป เช่น จากการที่จะชวนลูกน้องมาสร้างความสัมพันธ์ กลับกลายเป็นการดูโชว์หัวหน้างานเสียทรง เสียภาพพจน์ ลดความน่าเชื่อถือจากลูกน้องกันไป 

        ส่วนลูกน้องเองก็ต้องเข้าใจว่าหัวหน้าเองก็อยากให้ทุกคนรู้จักกันมากขึ้น ระหว่างที่ดื่ม ก็ใช้โอกาสนี้ในการแนะนำตัวเอง เชื่อมความสัมพันธ์ ด้วยการทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานใหม่ๆบ้าง หรือ เพิ่มความสนิทสนมกับเพื่อนเดิม พูดคุยในประเด็นอื่นๆ ที่เรายังไม่รู้ ซึ่งบริษัทเอง ก็คงไม่ให้งบประมาณมากมายหลายครั้งสำหรับการจัดเลี้ยงแบบนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาส จงใช้อย่างดี และเหมาะสม อย่าเมาจนขาดสติ ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดก็อาจเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ 

👍 อยากสนิทกับใครซักคน

        การทำความรู้จักกันในหลากหลายมิตินั้นทำได้ค่อนข้างยาก หากไม่สนิทใจ หรือไม่ไว้ใจ คุณอาจข้อดีของเหล้า สนับสนุนการดื่มสังสรรค์ เพื่อช่วยลดระยะห่าง ร่นเวลาที่ใช้สำหรับการสร้างความรู้จักได้อย่างรวดเร็ว บางคนอาจจะกล้าแสดงความคิดเห็น หรือ ความรู้สึกต่างๆ ขณะที่กำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่สนุก โอกาสนี้ คุณสามารถพูดคุยกันได้อย่างผ่อนคลาย และ ไม่กดดัน แต่ก็ควรระวังอย่าดื่มด่ำมากไปจนลืมเวลากลับบ้านล่ะ

🍻 Tips : ผู้นำที่ดื่มระหว่างการทำงาน อาจจะส่งผลเสียต่อภาพพจน์ ความน่าเชื่อถือของท่าน มากกว่าที่จะเป็นประโยชน์

        การสร้างความสัมพันธ์ (Relationship) จึงเป็นอีกหนึ่ง Softskills ที่สำคัญ สำหรับชีวิตการทำงานร่วมกับผู้อื่นในสังคม มุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการดื่มแอลกอฮอล์ในบทความนี้ Soft Skills 365 หวังว่าจะมีส่วนให้ผู้อ่าน นำประโยชน์ของเหล้าไปใช้ในการพัฒนาทักษะเพื่อการสร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงานของคุณได้ ตราบเท่าที่คุณตระหนักรู้ว่า ดื่มครั้งนี้มีประโยชน์อย่างไรกับคุณ     

👉 Reference

mekhanews.com

สุรากับความเป็นมายาคติในบริบททางสังคมไทย

hfocus.org

pobpad.com

bangkokbiznews.com

👉 Credits

ภาพประกอบจาก Pixabay





Share:

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565

แค่มี Self Esteem สร้างรายได้หลัก 10 ล้านได้จริงหรือ?

Self Esteem คืออะไร

    
    Soft Skills ทักษะการเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self Esteem) สามารถสร้างอาชีพให้มีรายได้หลักล้าน ได้อย่างไร

        เรื่องเล่าจาก หนุ่มชาวญี่ปุ่นวัย38 ปี โชจิ โมริโมโตะ  เริ่มต้นอาชีพจากการถูกเพื่อนร่วมงานวิจารณ์ว่าเขามักจะไม่ทำอะไรเลย ในที่ทำงาน ส่งผลต่อความรู้สึกด้านลบของเค้า เค้าเริ่มด้อยค่าตัวเอง และรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับการทำอะไรในที่ทำงานนั้น

        หลังจากนั้น เค้าเริ่มสงสัยในตัวเองว่า "จะเกิดอะไรถ้าผมเอาด้านที่ไม่ทำอะไรมาใช้" ปรับทัศนคติเชิงบวกเปลี่ยนจุดด้อย มาเป็นจุดขาย เริ่มเห็นถึงคุณค่าของตัวเอง ว่าการอยู่เฉยๆ ก็มีประโยชน์ต่อคนอื่น ในแง่ของความสบายใจ การระบายความเครียด ซึ่งในญี่ปุ่นเอง ก็การบริการในลักษณะนี้

        จึงเริ่มเริ่มให้บริการ "ให้เช่าตัวเองไป โดยไม่ต้องทำอะไร" เช่น การไปอยู่เป็นเพื่อน อยู่เฉยๆ ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ แค่เป็นผู้ฟังที่ดีก็พอ (ไม่รวมถึงการใช้แรงงาน หรือ ร่วมเพศ เพราะเงื่อนไขคือ "ไม่ทำอะไร") 

        ตลอดการให้บริการตั้งแต่ปี 2018-2022 ทำให้เค้ามีรายได้รวมกว่า 10 ล้านบาทแล้ว โดยปัจจุบันให้บริการลูกค้าถึง 3 คนต่อ 1 วัน คิดค่าบริการครั้งละ 2,500 บาท (10,000 เยน) ไม่นับรวมค่าอาหาร และ ค่าเดินทาง และยังคงได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  

★ Self esteem คืออะไร 

        ทัศนคติต่อตัวเอง ในด้านความพึงพอใจในตนเอง ความเห็นคุณค่าในตัวเอง สามารถที่จะรับมือกับอารมณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ โดยเชื่อว่าตนเองมีคุณค่า จนกระทั่งเกิดความเชื่อมั่นในตัวเอง และใช้ความกล้าผลักดันสู่การสร้างสิ่งใหม่ ๆ ไปจนถึงการมีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเอง

        อย่าปล่อยให้ Self Esteem ต่ำเพราะจะทำให้เราไร้แรง ไร้พลังใจ การที่เราไม่เห็นถึงคุณค่าในตัวเองนั้น ลองสังเกตุตัวคุณดูว่าคุณมักจะโทษตัวเองอยู่บ่อยเสมอๆ หรือรู้สึกเกลียดตัวเอง ไม่ค่อยจะเห็นข้อดีของตัวเอง สิ่งเหล่านี้ถ้าปล่อยไว้อาจผลักดันคุณเข้าสู่โรคภาวะซึมเศร้าได้ในภายหลัง  

        เมื่อ Self Esteem เป็น Skills (ทักษะ) นั่นหมายถึงทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ดังนั้นอาจเริ่มต้นง่ายๆ จากการ Self-Awareness (การสำรวจตัวเอง) เริ่มทำความรู้จัดกับ อารมณ์ พฤติกรรม ความคิด ของตนเองก่อน มีข้อดี ข้อเสียอะไรบ้าง ไม่แน่ คุณอาจจะพัฒนาจุดด้อยของคุณ แล้วกลายเป็นบริการหลักล้านอย่างคุณโชจิ ก็ได้ครับ  

Reference

https://www.bbc.com/thai

www.pobpad.com

https://blog.startdee.com










Share:

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2565

3 เทคนิคเพิ่ม Soft Skills บน Resume เพื่อพิชิตใจนายจ้างยุคใหม่


    
    สำหรับ คนที่กำลังมองหางานใหม่ วันนี้เรามาเรียนรู้การเขียนใบสมัครงาน แบบที่เพิ่มทักษะ Soft Skills เจ๋งๆ ลงบน Resume ของเรากันครับ เพื่อเพิ่มโอกาสในการพิจารณาเข้าทำงานได้อย่างดีเลยครับ เพราะยุคนี้ Soft Skills ถือเป็นทักษาะที่สำคัญระดับต้นๆ ที่นายจ้างใช้เพื่อประกอบการพิจารณารับเข้าทำงาน  

        สำนักข่าว CNBC ได้รายงานว่า ปัจจุบันนี้องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของพนักงานที่มีทักษะ Soft Skills  โดยมีมากถึง 6 ล้านต่ำแหน่งที่ Focus เรื่องของทักษะ Soft Skills ด้านการสื่อสาร (Communication) และ มีมากถึง 5.5 ล้านตำแหน่ง ที่ต้องการทักษะด้านการให้บริการลูกค้า และมีอีก 5 ล้านตำแหน่งสำหรับ ทักษาะด้านการจัดกำหนกการ ข้อมูจาก ZipRecruiter 

         Soft Skills 365 วันนี้ จะนำเสนอ 3 เทคนิคการอธิบายทักษะ Soft Skills ให้คุณเรียนรู้การเขียน Resume ให้น่าสนใจ อย่างมืออาชีพ

1. ใช้หัวข้อบรรยายตำแหน่งหรือประสบการณ์ให้ถูกความหมาย

        ใบสมัครงานของคุณนั้นมีหลายส่วน หนึ่งในนั้นคือส่วนของตำแหน่งงาน และ ประสบการณ์ ซึ่งเราจะเขียนทักษะ Soft Skills ในส่วนนี้ สิ่งสำคัญคือ การเขียนรายละเอียดที่เป็นความจริง

  • มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการเรียกตัวเองว่า "เด็กฝึกงาน" หรือ "เด็กฝึกงานด้านโซเชียลมีเดีย"
  • การระบุตำแหน่งว่าเป็น "นักวิเคราะห์" หรือ "ผู้จัดการโครงการ" มีความแตกต่างกันมาก 
  • ระหว่างที่เราเรียกตัวเองว่า "ผู้จัดการ" หรือ "ผู้จัดการด้านการสื่อสาร" ก็แตกต่างกัน

        แต่ละชื่อตำแหน่งเหล่านี้แสดงให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งของงานที่พิสูจน์ว่าคุณมีประสบการณ์บางอย่าง “แม้เพียงคำเดียว เช่นระหว่าง "การสื่อสาร" , "โซเชียลมีเดีย", "โครงการ" , 'ผลิตภัณฑ์' หรือ 'แผนก' ก็สามารถช่วยให้ผู้คนมองเห็นภาพในใจว่าคุณต้องรับผิดชอบอย่างไรจริงๆ” 

        ให้ลองนึกย้อนกลับไปถึงประสบการณ์การทำงานของคุณสำหรับแต่ละบทบาทที่คุณร่างไว้ และพิจารณาคำ เพิ่มเติมที่ถูกต้องและแม่นยำสักหนึ่งหรือสองคำที่อธิบายสิ่งที่คุณทำ และสิ่งที่คุณทำได้ใช้หัวข้อบรรยายให้ถูกความหมาย

2. เพิ่มสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย ให้เห็นตัวอย่างทักษะ Soft Skills ของคุณ

        พื้นที่ประวัติย่อเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สามารถใช้เพื่อแสดงให้เห็นถึงทักษะ Soft Skills ของคุณ คือ คุณสามารถเพิ่มสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย (Bullet Point) ภายใต้ตำแหน่งงานแต่ละตำแหน่ง ซึ่งให้อธิบายตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ของสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จ ในแต่ละหัวข้อย่อยสามารถพูดถึงทักษะ Soft Skills ที่นายจ้างต้องการ โดยเฉพาะในรายละเอียดงานหรือที่คุณคิดว่า Soft Skills ของคุณเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่นั้นๆ

        ตัวอย่างเช่น คุณต้องการเน้นทักษะ Soft Skills ด้านการสื่อสาร และ คุณทำงานตำแหน่ง SEO (search engine optimization) หัวข้อย่อยอาจกล่าวได้ประมาณว่า “ ฉันสรุปการใช้ keyword เพื่อการสืบค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ให้กับลูกค้าจำนวน 30 ราย ส่งผลให้มีการเข้าชมเว็บไซต์ของพวกเข้าเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 30%"

        Bullet Point จะทำหน้าที่เน้นถึงความสำเร็จที่ผ่านมา จากการใช้ Soft skills  ด้านการสื่อสารที่ดี ทำให้การนำเสนอของคุณประสบความสำเร็จอย่างชัดเจนในการช่วยให้ลูกค้าของคุณเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม ซึ่งจะช่วยพิสูจน์ได้ว่าคุณเป็นนักสื่อสารที่ดี

3. ใช้การอธิบายเกี่ยวกับงานที่ กระชับได้ใจความสำคัญ

        โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงการสื่อสาร วิธีการเขียนใบสมัครงานของคุณ อาจพิสูจน์ได้ว่าคุณเป็นนักสื่อสารที่ดี 
        “คุณบรรยาย หรือ เล่าเกี่ยวกับงานว่าอย่างไร” เป็นประโยคที่ซ้ำซาก ซับซ้อน วนวน ยืดยาว หรือไม่ ลองเขียนบรรยายถึงอาชีพการงานซ้อมลงบนกระดาษก่อน และ เลือกการสื่อสารดีที่สุดเขียนลงบน Resume พร้อมตัวอย่างการทำงานที่ชัดเจนและปราศจากคำพูดที่มากเกินไปสามารถ แสดงให้นายจ้างเห็นว่าอย่างน้อยที่สุด คุณได้ฝึกฝนทักษะการเขียนของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสื่อสารในแต่ละวันในรูปแบบต่างๆ

Reference
Share:

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2565

รับมือกับทัศนคติ Quiet Quitting หนึ่งใน Diversity ที่ผู้นำต้องทราบ


    
    Soft Skills 365 วันนี้เราจะมาคุยกันถึงความหลากหลาย (Diversity) ด้านทัศนคติ ของพนักงานของเรา ที่อาจจะเกิดขึ้นในองค์กรแล้ว แต่ผู้นำอาจยังไม่ทันสังเกตุเห็น ในฐานะผู้นำเราจึงต้องพยายามทำความเข้าใจความคิดของพนักงาน เพื่อหาวิธีจัดการ ไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งกันในภายหลังได้ 

★ Quiet Quitting คืออะไร

        ทัศนคติของบุคคล ที่มีความคิดว่าจะทำงานเฉพาะหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น คือการเลิกทำเกินหน้าที่ หรือ ไม่รับงาน อาสาใดๆ ด้วยเหตุผลที่รู้สึกว่าเหนื่อยล้าจากการทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน จากการทำงานเกินหน้าที่ โดยมีแนวคิดคือ "การทำงานรักษาใจตนเอง และ การทำงานตามเงินเดือนที่ได้"  การทำงานที่มากเกินกว่าหน้าที่ อาจจะนำพาไปปัญหาหมดการทำงาน (Burnout) ในการทำงานได้   

        ผู้ใช้ TikTok (ติ๊กต็อก) ที่ชื่อ @zaidlepplin กล่าวว่า "งานไม่ใช้ชีวิตของคุณ" ได้โพสเนื้อหาที่มีแนวคิดเกี่ยวกับ Quiet Quitting จนเป็นกระแสโด่งดังใน Tiktok

★ Quiet Quitting จะส่งผลอย่างไรกับผู้ที่มีแนวคิดนี้

        มุมมองจาก Soft Skills 365 ถึง Quiet Quitting ก็สามารถใช้เป็นแนวคิด เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหมดไฟจากการทำงานลงได้ อาจเป็นการกระตุ้นให้ผู้บริหารเห็นว่า ควรให้ความเป็นธรรมในการจ่ายค่าตอบแทน สำหรับการจ้างงานที่เกินกว่าขอบเขตการทำงานหลัก ทั้งนี้เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจสำหรับพนักงาน ที่เสียสละใช้เวลาส่วนตัวมาปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ขององค์กร 

        อีกมุมมองที่น่าสนใจจาก แพตตี อาห์ไซ ผู้เชี่ยวชาญด้านมารยาทในที่ทำงาน กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า หากมีแนวคิดแบบ Quiet Quitting คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ เพราะ Quiet Quitting คือการทำงานที่น้อยที่สุด ตามตำแหน่งงานของคุณที่กำหนดไว้ ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะไม่ได้มาจากคนที่ทำงานขั้นต่ำอย่างแน่นอน

Reference

https://www.bbc.com/thai/international-62783704

Share:

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2565

Check สัญญาณบ่งบอกว่าคุณต้องพัฒนาทักษะการจัดการเวลา (Time Management) แล้วล่ะ

        ทักษะการจัดการเวลา (Time Management) ถือเป็นอีกหนึ่งใน Soft Skills ที่จำเป็นสำหรับการทำงาน ทั้งส่วนตัวและร่วมกับผู้อื่น เป็นทักษะที่พวกเราส่วนใหญ่สามารถใช้เพื่อช่วยในการปรับปรุงและพัฒนา จัดการเวลาให้กับตนเองอย่างง่ายๆ มาเริ่มต้นจากการ Self-Awareness ตัวเองดูว่ามีสัญญาณเหล่านี้เกิดขึิ้นกับคุณแล้วหรือไม่ ถ้ามีต้องคุณคงต้องเริ่มใส่ใจที่จะศึกษาหลักการจัดการเวลา Upgrade Skill :  Time Management  ของคุณแล้วล่ะ


★ 8 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณจำเป็นต้องพัฒนา ความสามารถและนิสัยในการจัดการเวลาของคุณ 

  1. ความฝันของคุณ ในระยะยาวดูเหมือนจะทำได้ยาก
  2. มักจะทำงานได้ไม่ตรงตามกำหนด
  3. ขาดสมาธิและ ขาดความพยายามที่จะทำให้สำเร็จ
  4. มีงานที่ล้นหลาม
  5. พิจารณาแล้ว ว่าคุณไม่สามารถทำงานทุกอย่างได้ทั้งหมด
  6. ใช้เวลาทำงานเกินกว่าที่จำเป็น
  7. มักจะเครียดอยู่เสมอ
  8. คุณรู้สึกว่ากำลังพยายามอย่างหนักแต่ไปไม่ถึงไหน
★ 3 กลยุทธ์การบริหารเวลา พัฒนาความสามารถด้านบริหารเวลา 

1. ตั้งเป้าหมาย (Set objectives)
        คุณมักจะหลุดออกจากเป้าหมาย เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป อาจเกิดขึ้นจากในทุกๆวันของคุณ ได้เจองานแทรกหรือปัญหาที่เข้ามาระหว่างวัน จึงต้องจัดลำดับและให้ความสำคัญกับประเด็นที่เร่งด่วนที่สุดมาก่อนเสมอ
        ดังนั้น คุณควรทบทวนเป้าหมายของคุณอยู่เสมอ หรือใช้วิธีการตั้งเป้าหมายด้วยหลักการ SMART จะช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง วัดได้ ทำได้จริง/เกี่ยวข้อง และอิงตามเวลา 
        การตั้งเป้าหมายที่ยากจนเกินไป จะทำให้คุณล้า และเกิดการท้อใจระหว่างทาง

2. วางแผน (Plan your time)
        การใช้เวลาอย่างมีจุดมุ่งหมายหมาย และเราควรเป็นคนควบคุมเวลาของเราด้วยตนเอง อย่าให้ใครมาควบคุม ทำให้การจัดการเวลาจนเป็นนิสัย อาจช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ในระยะยาว ควรลดความวอกแวก และหันกลับมา Focus เป้าหมาย เช่น ปฏิเสธการเข้าประชุมในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับคุณ หรือ วางแผนการใช้เวลาของคุณอย่างชัดเจน ว่าวันนี้จะต้องทำอะไรบ้าง ใช้เวลาเท่าไหร่ในการทำ พยายามให้เสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้
        เมื่อวางแผนเวลาของเราแล้ว ให้คำนึงว่ากำหนดการของเรานั้น จะแตกต่างจากผู้อื่น จะช่วยคุณได้ เช่น คุณจะสามารถแจ้งเพื่อนร่วมงานของคุณล่วงหน้าได้ เมื่อคุณไม่ต้องการถูกรบกวนในช่วงเวลาใด หรือ มีแผนที่จะไปทำธุุระส่วนตัว การทราบแผนล่วงหน้า จะช่วยลดโอกาสเกิดความขัดแย้งกับผู้ร่วมงานได้

3. แบ่งเวลา (Plan time chunks)
        การแบ่งเวลา เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการจัดลำดับความสำคัญ ของเป้าหมายระยะยาวที่ไม่เร่งด่วน ซึ่งต้องใช้ความใส่ใจและเวลาจำนวนมาก
  • พักเป้าหมายใหญ่ไว้ก่อน เมื่อมีเหตุการณ์ที่เร่งด่วนมากกว่า มากระตุ้นให้คุณต้องทำก่อน
  • แบ่งเวลา เพื่อเน้นทำงานที่มั่นใจได้ว่าส่งผลถึงความก้าวหน้า
  • จำกัดเวลาในการทำงาน จะช่วยลดความเมื่อยล้าจากงานอีกด้วย
กำหนดการประชุมจากส่วนกลาง จะช่วยให้พนักงานสามารถวางแผนจัดการเวลาของพนักงานได้

Reference
Share:

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2565

8 ไอเดียพัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร (Diversity Management in Workplace)

★ ความหลากหลายในองค์กร (Diversity in Workplace)

        ความหลากหลาย (Diversity) ของผู้คนที่เกิดขึ้นในองค์กรนั้น เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ เช่น ความแตกต่างด้าน เพศ อายุ ระดับการศึกษา บุคลิกภาพ ทัศนคติ เป็นต้น ปัญหาคือ ความหลากหลายที่เกิดขึ้น ก็มักจะตามมาด้วยความต้องการของแต่ละบุคคลที่ต่างกันอีก ซึ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง และ การแบ่งแยก ของพนักงานในองค์กรได้ 

        ฉะนั้นแล้วการศึกษความหลากหลายได้ถึงในระดับแต่ละบุคคล จะทำให้เราวางแผนจัดการบริหารบุคคล เพื่อที่จะตอบสนองความต้องการ และสร้างแรงจูงใจ โน้มน้าวให้พวกเขา ทำงานตามเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   

★ ประโยชน์ของความหลากหลายที่เกิดขึ้นในองค์กร

        การร่วมมือกันทำงาน ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวขององค์กรของคุณ พนักงานที่รู้สึกมีค่าและเป็นที่ยอมรับนั้น จะมีส่วนร่วมกับงานมากขึ้น มีการผลิตชิ้นงานสูงขึ้น และอยู่กับบริษัทได้นานขึ้น ส่งผลต่อภาพรวมทางธุรกิจค่อยๆดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป

"บริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรมมากกว่า มีโอกาส 36% ที่จะได้รับผลกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น" (McKinsey & Company)

        ทีมงานที่มีความหลากหลาย จะมีนวัตกรรมมากขึ้น เพราะพวกเขาจะนำพรสวรรค์ ทักษะ ประสบการณ์ และมุมมองที่หลากหลายมาสู่งาน เมื่อคุณรวมสิ่งนี้เข้ากับพนักงาน และเปิดโอกาสให้พนักงานไม่กลัวที่จะมีส่วนร่วม มีความคิดสร้างสรรค์ แก้ปัญหา และการแสดงความเห็น คุณจะเห็นว่า เกิดการมีส่วนร่วมของพนักงานเพิ่มขึ้น และผลลัพธ์จากการทำงานเพิ่มขึ้น สิ่งนี้จะนำไปสู่การว่าจ้างที่ดีขึ้น จะดึงดูดผู้มีความสามารถเข้ามาทำงานให้บริษัทเราได้มากขึ้น HR สามารถจ้างพนักงานที่มีคุณภาพสูงได้

        ด้วยความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ คุณจะได้ 8 เทคนิคพัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร ที่ส่งผลต่อการเพิ่มพนักงานให้เกิดความหลากหลาย และ รักษาพนักงานที่มีความสามารถให้อยู่กับองค์กรไปได้ในระยะยาว


★ 8 ไอเดียสร้างสรรค์พัฒนาการจัดการความหลากหลายในองค์กร 

1. การรับรู้และรับทราบ (Awareness and Acknowledgement)

        ต้องตระหนักรู้ว่ามีความหลากหลายเกิดขึ้นในองค์กรของคุณ รู้ถึงปัญหาก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องพูดคุยกับพนักงานของคุณให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลาย ความเท่าเทียม และการไม่แบ่งแยก เพื่อให้คุณสามารถสร้างแผนเพื่อตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของพวกเขาได้ดีขึ้น

2. ยอมรับและเห็นคุณค่าความแตกต่างทั้งหมด (Accept and value all differences)

        ยอมรับและเห็นคุณค่าความสามารถของพนักงานทุกคนโดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง วิธีง่ายๆ ในการแสดงให้พนักงานเห็นว่าคุณชื่นชมพวกเขาทุกวันคือเพียงแค่มีส่วนร่วมในการสนทนาและรับฟังพวกเขา ทำความรู้จักกับพนักงานของคุณเป็นการส่วนตัว เมื่อพนักงานรู้สึกมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับ พวกเขาจะทำอย่างสุดความสามารถ

3. เปลี่ยนภาษาของคุณ (Change your language)

        ให้ความกระจ่างชัดต่อพนักงาน และผู้สมัครงาน ถึงการให้ความสำคัญกับความหลากหลายในที่ทำงาน รวมถึงสร้างการสื่อสารถึงการมุ่งเน้นเรื่องความหลากหลายให้อยู่ในทุกที่ เช่น คู่มือพนักงาน สัญญาจ้าง การว่าจ้าง เอกสารการปฐมนิเทศ และเอกสารอื่นๆ ของบริษัท

4. กำหนดนโยบายความหลากหลาย (Establish diversity policies)

        กำหนดนโยบายความหลากหลายให้ครอบคลุม โดยสิ่งที่ต้องมี ได้แก่ เพศ การล่วงละเมิดทางเพศ ความสามารถ ความพิการ เชื้อชาติ ศาสนา และรสนิยมทางเพศ นี่คือตัวอย่างนโยบายความหลากหลาย ความเสมอภาค และการรวมจาก SHRM (Society for Human Resource Management องค์การด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลที่มีสมาชิกจาก 160 ประเทศทั่วโลก)

5. จ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม (Pay attention to pay equity)

        ใส่ใจในจ่ายค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม เมื่อมีการเลื่อนตำแหน่ง หรือ การทำงานนอกสถานที่ ให้จ่ายค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม ไม่ใช่ให้ตำแหน่งและความรับผิดชอบที่สูงขึ้น แต่เงินเดือนเท่าเดิม หรือ ให้ไปทำงานต่างจังหวัด จากบ้านเกิดของพนักงานไป แต่รายได้เท่าเดิม ต้องพิจารณาถึงบริบทของการทำงานที่แตกต่างกันไปจากเดิม

6. รับสมัครงานจากการแนะนำ (Hiring through referrals)

        ส่งเสริมให้พนักงานปัจจุบันของคุณ แนะนำเพื่อนของพวกเขา โดยใช้การเน้นย้ำว่า องค์กรของเราให้ความสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลาย จะวิธีที่ดีในการดึงดูดผู้สมัครที่หลากหลาย การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการแนะนำโดยพนักงานนั้น เป็นแหล่งของการหาพนักงานใหม่ที่ดี

7. พัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรม (Develop Diversity & Inclusion Training Programs)

        จัดให้มีการฝึกอบรมความหลากหลายและการรวมกลุ่มสำหรับทุกระดับในองค์กรของคุณ โดยเริ่มต้นจากตำแหน่งผู้นำก่อน เพื่อให้พวกเขาเปิดทางและช่วยพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมของคุณ

        การฝึกอบรมควรส่งเสริมเรื่องการมีอคติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว (unconscious bias) และในการฝึกอบรมนั้นให้เป็นการเข้าร่วมกิจกรรมโดยสมัครใจ และออกแบบหลักสูตรให้สามารถใช้ได้กับทุกคนในองค์กร เพื่อให้ได้รับการส่งเสริมจากทุกคนในองค์กรของคุณ

8. การทำงานที่ยืดหยุ่น (Institute flexible working arrangements)

        สร้างนโยบายการลาที่ยืดหยุ่น เสนอวันหยุดที่ยืดหยุ่นได้ เพื่อให้พนักงานสามารถเฉลิมฉลองวันหยุดและกิจกรรมที่สำคัญต่อพวกเขาได้ 

Highlight : 74% ของคน Gen Yเชื่อว่าองค์กรจะมีนวัตกรรมมากขึ้นเมื่อมีการส่งเสริมวัฒนธรรมของความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก

"ทุกคนต่างมีเป้าหมายที่แตกต่างกัน และไม่มีใครบรรลุเป้าหมายในชั่วข้ามคืน"

        การสื่อสารภายในองค์กรควรทำให้เห็นชัดเป็นรูปธรรม ถึงการให้ความสำคัญต่อความหลากหลายในองค์กร ได้อย่างบ่อยครั้ง และมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เช่น กำหนดอยู่ในนโยบาย วาระการประชุม การปฐมนิเทศ จะช่วยแสดงให้เห็นว่าองค์กรของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างไร ตราบเท่าที่คุณคอยดูข้อมูลของคุณอย่างใกล้ชิดและวัดความคืบหน้า เพื่อการปรับปรุงและพัฒนาองค์กรต่อไป

Reference

https://www.hrdive.com/spons/10-initiatives-to-improve-diversity-in-the-workplace/629941/

http://lyksoomu.com/CkFy


Share:

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2565

EQ ความฉลาดทางอารมณ์ 5 ประการ ของ Daniel Goleman สู่การเป็นผู้นำที่ดีขึ้น

ความฉลาดทางอารมณ์

    ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) คือ ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของเราเองและอารมณ์ของผู้อื่น

        นักจิตวิทยา Daniel Goleman เป็นผู้คิดค้นคำศัพท์นี้ขึ้นในปี 1995 ในหนังสือขายดีเด่นของเขาเรื่อง 'Emotional Intelligence: Why It Can Matter More Than IQ.' ตั้งแต่นั้นมา การศึกษาจำนวนมากได้ค้นพบว่า EQ เป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดสำหรับความเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ

        คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ไม่เพียงแต่รู้วิธีจัดการกับอารมณ์ของตนเองเท่านั้น แต่ยังรู้ว่าอารมณ์ของตนส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคม

        โกลด์แมนกล่าวว่าความฉลาดทางอารมณ์ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 5 ส่วน ได้แก่ การตระหนักรู้ในตนเอง การเอาใจใส่ แรงจูงใจ ทักษะทางสังคม และการควบคุมตนเอง ยิ่งคุณจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ดีเท่าไร คุณก็จะมีความฉลาดทางอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น ต่อไปนี้คือ 5 วิธีที่ความฉลาดทางอารมณ์สามารถทำให้คุณเป็นผู้นำที่ดีขึ้นได้

★ 1.การตระหนักรู้ในตนเองที่ดีขึ้น (Better Self-Awareness)

        เป็นการยากที่จะเข้าใจคนรอบข้างเมื่อคุณไม่เข้าใจตัวเอง โกลด์แมนให้เหตุผลว่าการตระหนักรู้ในตนเองเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของความฉลาดทางอารมณ์ เพราะจะช่วยให้คุณสามารถปรับเข้ากับอารมณ์ของคุณ คุณเห็นคุณค่าในตัวเอง และมีความชัดเจนเกี่ยวกับจุดแข็งและจุดอ่อนส่วนบุคคลของคุณ เมื่อคุณเห็นคุณค่าในตัวเอง คุณให้คุณค่ากับผู้อื่น และพนักงานมักจะทำให้ดีที่สุดเมื่อพวกเขารู้สึกว่ามีคุณค่า

★ 2.เป็นผู้นำด้วยความเห็นอกเห็นใจ (Lead with Empathy)

        หากคุณต้องการได้รับประโยชน์สูงสุดจากทีมของคุณ ให้เป็นผู้นำด้วยความเอาใจใส่ ผู้นำที่เอาใจใส่สามารถประเมินสถานการณ์จากมุมมองของคนอื่นได้ พวกเขามีความสามารถในการรู้สึกถึงอารมณ์ของผู้อื่นซึ่งจะทำให้พวกเขารู้สึกเข้าใจ คนส่วนใหญ่ไม่ชอบนำปัญหามาสู่ที่ทำงาน พวกเขาอาจมีเรื่องส่วนตัวหลายอย่าง แต่สำหรับผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจ จะสามารถปรับให้เข้ากับอารมณ์ของผู้อื่นได้

★ 3.แรงจูงใจที่เพิ่มขึ้น (Increase Motivation)

        คนที่ฉลาดทางอารมณ์มีความสามารถในการกระตุ้นตัวเอง พวกเขามีแรงผลักดันส่วนตัวที่แข็งแกร่งที่ทำให้พวกเขามุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายและพัฒนาตนเอง พวกเขามองโลกในแง่ดีและยืดหยุ่น และมองอุปสรรคเป็นโอกาสแทนที่จะเป็นอุปสรรค แรงจูงใจนี้ส่งผลต่อทีม และพนักงานมีแนวโน้มที่จะทำงานอย่างสุดความสามารถ

★ 4) ทักษะทางสังคมที่ดีขึ้น (Better Social Skills)

        องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของทักษะทางสังคมคือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ เป็นคุณลักษณะที่จำเป็นในการเป็นผู้นำเพราะพวกเขาจำเป็นต้องรู้วิธีสื่อสารวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขององค์กรให้กับพนักงานในลักษณะที่กระตุ้นให้พวกเขาทำตาม นอกจากนี้ยังมีความหลากหลายด้านบุคลิกภาพในที่ทำงาน และผู้จัดการที่ดีต้องสามารถปรับรูปแบบการสื่อสารให้เหมาะกับบุคลิกของแต่ละคนได้

★ 5) การควบคุมตนเองที่ดีขึ้น (Better Self-Regulation)

        บุคคลที่ควบคุมตนเองได้นั้น จะตัดสินใจตามอารมณ์ของตนเอง พวกเขามีเหตุผล สงบ และวัดผลได้มาก พวกเขาคิดก่อนพูดและควบคุมตนเองในระดับสูงตลอดเวลา นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการความเครียด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

        ผู้นำที่เครียด เท่ากับเราได้แรงงานที่เครียด เมื่อผู้นำไม่สามารถจัดการกับความเครียดของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะเกิดผลกระทบต่องาน ซึ่งความเครียดในที่ทำงานเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วิธีจัดการนั้นจะเป็นตัวกำหนดว่าสิ่งนั้นเหมาะกับคุณ ผู้นำที่ตะโกนใส่พนักงานเมื่อเกิดความผิดพลาด เป็นการทำลายวัฒนธรรมขององค์กร ผู้นำจะสูญเสียความเคารพในการจัดการ ที่ทำงานจะกลายเป็นพิษและส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน แต่ผู้นำที่มีระบบการจัดการความเครียดจะได้รับความไว้วางใจและความเคารพจากพนักงาน

          สุดท้ายนี้ หากคุณรู้สึกว่าจำเป็นต้องพัฒนาทักษะความฉลาดทางอารมณ์ มีหลายวิธีที่คุณสามารถทำได้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ คุณสามารถเริ่มต้นด้วยการฝึกสติเพื่อทำความเข้าใจความรู้สึกของคุณให้ดีขึ้น เพื่อให้คุณสามารถควบคุมอารมณ์ด้านลบของคุณ ซึ่งจะทำให้อารมณ์เหล่านี้ทำงานแทนคุณได้ นอกจากนี้ คุณยังสามารถสร้างความมั่นใจในตนเองได้ ความไม่มั่นคงมักเกิดจากความผิดหวังในตนเอง การฝึกสติยังช่วยให้คุณเข้าถึงส่วนต่างๆ ที่คุณจำเป็นต้องรู้ ในขณะที่คุณตัดสินใจอย่างมีสติเพื่อจัดการกับจุดอ่อนของคุณ ระดับความมั่นใจของคุณจะเพิ่มขึ้น และความฉลาดทางอารมณ์ของคุณก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน

Reference

https://www.forbes.com/sites/goldiechan/2022/08/22/5-ways-emotional-intelligence-can-make-you-a-better-leader/?sh=34c72ccd90cc

Share:

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2565

เข้าใจความต่าง เข้ากันกันง่ายขึ้น ต้องรู้ความหลากหลาย Generation in Workplace

ความหลากหลายในองค์กร

          ปัจจุบันเราจะพบว่ามีพนักงานในบริษัทที่มีความหลากหลาย (Diversity) ทางอายุมากกว่าที่เคย 
ด้านหนึ่งเป็นประชากรสูงอายุและอายุเกษียณตามกฎหมายที่เพิ่มขึ้น และอีกด้านหนึ่ง ผู้คนเริ่มก้าวแรกในเส้นทางอาชีพของตน ด้วยความหลากหลายทางอายุนี้ และเราจะกระตุ้นให้ตระหนักถึงความหลากหลายนี้กันอีกครั้ง เพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างความต่างนี้

          ข้อมูลจาก Livecareer.com ได้สำรวจพนักงานมากกว่า 1,000 คนเพื่อศึกษาถึงความหลากหลายที่เกิดขึ้นในที่ทำงาน ณ ปัจจุบัน โดยดูถึงทัศนคติทั่วไปต่อสถานที่ทำงาน ความท้าทายของคนรุ่นต่างๆ ที่ทำงานร่วมกัน ทักษะและนิสัยของการทำงานในแต่ละรุ่น

อายุที่ต่างกันมีความสำคัญในที่ทำงานหรือไม่ ?

เรามาทบทวนการแบ่ง Generation โดยสังเขปรุ่นต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจความหลากหลาย ตามการศึกษาก่อนหน้านี้

★ Silent Generation หรือที่เรียกว่า Traditionalists [เกิด ค.ศ. 1928-1945]

          เติบโตขึ้นมาไกลก่อนรุ่งอรุณของเทคโนโลยีสมัยใหม่ พวกเขาให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก ก้าวช้าลง และเล่นตามกฎ คนที่เป็นตัวแทนของ Silent Generation มักจะเป็นคนหัวโบราณ ซื่อสัตย์ และมีวินัยสูง ถึงกระนั้น เนื่องจากอายุที่มากขึ้น คนรุ่นเงียบเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีอยู่ในแรงงานในปัจจุบัน

★ Baby Boomers (เกิด ค.ศ. 1946-1964)

          เบบี้บูมเมอร์มักมองหาความมั่นคงในงานเป็นหลัก พวกเขาชื่นชมสภาพแวดล้อมที่เป็นทางการและมีโครงสร้างมากกว่าคนรุ่นหลัง บูมเมอร์ยังขาดความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ๆ เนื่องจากไม่มีการสื่อสารแบบดิจิทัลเติบโตขึ้น ดังนั้นพวกเขาอาจชอบการประชุมแบบเห็นหน้ากันมากกว่าการประชุมออนไลน์

          กลุ่มบูมเมอร์ต้องการโอกาสที่จะได้แบ่งปันความเชี่ยวชาญ เนื่องจากพวกเขาเป็นแหล่งความรู้ที่ดีเกี่ยวกับงานของตน พวกเขาทำงานหนักและต้องการได้รับการยอมรับในทักษะของพวกเขา ผู้จัดการควรส่งเสริมให้พวกเขาให้คำปรึกษาแก่พนักงานที่อายุน้อยกว่า

          คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์หลายคนชื่นชอบการทำงานที่เป็นแบบแผน และเลือกการทำงานในสถานที่ทำงานมากกว่า ซึ่งจะกระตุ้นให้พวกเขาทำงานปัจจุบันได้นานขึ้น สวัสดิการด้านสุขภาพและการเกษียณอายุยังเป็นที่ต้องการอย่างมาก

★ Gen X (เกิด ค.ศ. 1965-1980)

          ชอบสภาพแวดล้อมที่เน้นความเป็นอิสระ พวกเขายินดีที่มีความยืดหยุ่นในการจัดการปริมาณงาน พื้นที่ทางร่างกายและจิตใจที่มากขึ้นก็มีความสำคัญต่อพวกเขาเช่นกัน

          สำหรับคนงานรุ่น X มักให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นหลัก ดังนั้นพวกเขาจึงประเมินความครอบคลุมด้านการรักษาพยาบาล การจัดการแรงงานที่ยืดหยุ่น บริการรับเลี้ยงเด็กในสถานที่ และผลประโยชน์อื่นๆ ที่เอื้อให้เกิดความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตที่ดี เมื่อพูดถึงรางวัล Gen Xers ดูเหมือนจะชอบรางวัลที่เป็นตัวเงิน

★ มิลเลนเนียล หรือ GEN Y (เกิด ค.ศ. 1981-1996)

           รุ่นที่มีการเชื่อมต่อกันมากและมีความชำนาญด้านเทคโนโลยีนี้ท้าทายความต้องการของนายจ้างในเรื่องการเดินทางที่ไม่หยุดหย่อน มาตรฐานความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน และความคิดที่มุ่งแสวงหาผลกำไร พวกเขาเป็นนักสื่อสารยุคใหม่ที่ยอดเยี่ยมและมีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการ

          คนรุ่น GEN Y ชื่นชอบการทำงานทางไกลและตารางเวลาที่ยืดหยุ่น พวกเขาต้องการได้รับการประเมินไม่ใช่สำหรับเวลาทำการ แต่สำหรับผลลัพธ์ของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น คนรุ่นมิลเลนเนียลต้องรู้สึกว่างานของพวกเขามีความสำคัญและมีความหมายลึกซึ้งยิ่งขึ้น

★ Gen Z (เกิด ค.ศ. 1997-2012)

           พนักงาน Generation Z ให้ความสำคัญกับงานที่เน้นเป้าหมายและความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานที่ดี พวกเขาให้ความสำคัญกับโอกาสในการเติบโตและการส่งเสริม Gen Zers ทำงานเพื่ออุดมการณ์ที่สูงขึ้นเพราะพวกเขามองว่าโลกนี้น่าอยู่ขึ้นในฐานะเป้าหมายอาชีพระยะยาวอันดับต้น ๆ ของพวกเขา

Upgrade Soft Skills : การบริหารความหลากหลายในองค์กร (Diversity Management)

  • การศึกษาความแตกต่างที่หลากหลายระหว่างบุคคล HR และ ผู้นำองค์กร ควรร่วมมือกัน ในการศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคลที่เกิดขึ้นในองค์กร เพื่อทำความเข้าใจความต้องการ และสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำงานได้อย่างเหมาะสม

Reference

https://www.livecareer.com/resources/careers/planning/generation-diversity-in-the-workplace

Share:

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2565

7 Soft Skills Trend ที่โลกต้องการแห่งปี 2022-2023

Soft Skills ที่นิยมปี 2023

★ 
Skill Trend อันดับที่ 1 การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning)

          การเรียนรู้ไม่ได้เกิดจากการได้รับปริญญาเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าวุฒิการศึกษาอย่างเป็นทางการนั้นไม่ดี แต่เป็นเพียงการกระตุ้นให้คุณมุ่งมั่นที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต โลกการทำงานมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 2 ปีที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าการเรียนรู้เป็นกุญแจสำคัญในการปรับตัว เปลี่ยนแปลง และมีความยืดหยุ่น 

“ใช้ชีวิตราวกับว่าเธอจะต้องตายในวันพรุ่งนี้ เรียนรู้ราวกับว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” (Gandhi)

          คุณและพนักงานจำเป็น ที่จะต้องมุ่งมั่น เรียนรู้ตลอดชีวิตและเพิ่มทักษะในทักษะที่สำคัญ เตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายทางธุรกิจ ด้วยความรู้ที่จำเป็นในการทำงาน จะเอาชนะอุปสรรคเหล่านั้น คุณจะต้องเตรียมทีมของคุณให้พร้อมสำหรับความสำเร็จ

        ไม่เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เห็นถึงปัญหา แต่ยังได้รับวิธีการแก้ไขที่ ดีที่สุดและไม่ซ้ำใคร การคิดเชิงวิเคราะห์ยังทำให้พนักงานปลูกฝังนิสัยในการคิดค้นด้วยตัวเอง กระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีนี้พวกเขาและธุรกิจจะปรับตัวได้สูง

★ Skill Trend อันดับที่ 2 การคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking)

          ความสามารถในการสังเกตุ รวบรวม และตีความข้อมูลเพื่อช่วยในการพัฒนาวิธีแก้ไขปัญหาและตัดสินใจอย่างชาญฉลาด เป็นคุณสมบัติตามความต้องการที่นายจ้างงานมองหาในผู้สมัคร เพราะช่วยให้องค์กร สามารถระบุและกำหนดปัญหา ที่สำคัญจากข้อมูล และพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติ

★ Skill Trend อันดับที่ 3 การรับมือกับความเครียดเพื่อให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น (Coping with Stress to become more Flexible)

“ความเครียดคือขยะของชีวิตสมัยใหม่ เราทุกคนสร้างมันขึ้นมา แต่ถ้าไม่กำจัดอย่างถูกต้อง มันก็จะกองพะเนินเทินทึกและแซงชีวิตคุณ” (Danzae Pace)

        การระบาดใหญ่และเศรษฐกิจตกต่ำส่งผลกระทบต่อทั้งสภาพอารมณ์และจิตใจของเราในทางลบ ทันใดนั้น ระดับความเครียดของเราก็พุ่งสูงขึ้น และสภาพจิตใจและอารมณ์ที่ดีก็กลายเป็นสิ่งที่นายจ้างจะมองหาจากผู้สมัครที่สามารถ "ลุยกับหมัด" และเปลี่ยนความเครียดเชิงลบให้เป็นแรงจูงใจในตนเองในเชิงบวก

        นายจ้างจะต้องเพิ่มทักษะให้กับพนักงานปัจจุบันของตนอย่างต่อเนื่องในการจัดการความเครียด เพราะคนที่มีความยืดหยุ่นและมีเทคนิคที่เหมาะสมเมื่อต้องเผชิญกับความเครียด คลายความตึงเครียด และไม่เพียงแต่ทำให้ตัวเองสงบ แต่ยังรวมถึงเพื่อนร่วมงานด้วย

        เมื่อพนักงานสามารถเปลี่ยนความเครียดเป็นแรงจูงใจในตนเองได้ พวกเขาจะจัดการได้ง่ายขึ้นและต้องการการดูแลน้อยลง พนักงานที่มีสติสัมปชัญญะเป็นประจำไม่เพียงแต่มีสุขภาพที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีสติสัมปชัญญะด้วย ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาและสมาชิกในทีมของพวกเขาเติบโตในเชิงบวกภายในบริษัท

★ Skill Trend อันดับที่ 4 – ความสามารถในการแก้ปัญหาหลายแง่มุม (Multifaceted Problem-Solving Abilities)

“การตัดสินใจที่เป็นไปไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าจะได้รับการแก้ไขเมื่อเราเห็นว่าปัญหาเป็นเพียงการตัดสินใจที่ยากลำบากที่รอที่จะทำ”

(Dr. Robert Schuller)

        กุญแจสู่ความสำเร็จของทีมหรือธุรกิจคือการแก้ปัญหาก่อนที่จะกลายเป็นวิกฤต การมีทักษะในการแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต่อรองได้และจะหยุดคนไม่ให้โทษกันไปโทษกันมา

        HR มักจะมองหาผู้สมัครที่มี Soft Skill ด้านความสามารถในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งหน้างาน พนักงานในโรงงาน หรือตำแหน่งผู้บริหาร ในปี 2022

        และในอนาคตข้างหน้า ทักษะการแก้ปัญหาและการตัดสินใจจะช่วยให้ผู้หางานมีความได้เปรียบมากขึ้น ธุรกิจที่จัดให้พนักงานปัจจุบันมีทักษะเหล่านี้จะได้รับความได้เปรียบในการแข่งขัน

★ Skill Trend อันดับที่ 5 – การพัฒนาความเป็นผู้นำจริยธรรม (Ethic Leadership Development)

        ความซื่อสัตย์สุจริตกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งขึ้นในโลกธุรกิจที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งการทุจริตและพฤติกรรมที่ผิดจรรยาบรรณถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจ ที่ผู้คนพยายามใช้เพื่อเป็นทางลัดให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นในระยะสั้น แต่การทำสิ่งที่ถูกต้องจะรับประกันความสำเร็จในระยะยาว และสามารถสร้างความไว้วางใจในกลุ่มพนักงานและคู่ค้าทางธุรกิจของคุณ

“ในการมองหาคนที่จะจ้าง คุณมองหาคุณสมบัติสามประการ

ความซื่อสัตย์ สติปัญญา และพลังงาน 

และถ้าพวกเขาไม่มีคนแรก อีกสองคนจะฆ่าคุณ” (Warren Buffett)

        คุณสมบัตินี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้นำในการสร้างความร่วมมือระยะยาวระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและความสำเร็จของธุรกิจในอนาคต

        เมื่อมีจรรยาบรรณในการทำงานในเชิงบวกและทักษะการเป็นผู้นำ ทัศนคติของเราจะแสดงถึงความทุ่มเทและความพึงพอใจในการทำงาน สิ่งนี้เพิ่มมูลค่าให้กับองค์กร และแสดงให้เห็นถึงการจัดการในการทำงานร่วมกับผู้อื่น เช่น สามารถทำงานร่วมกันได้ รับผิดชอบร่วมกันได้ เชื่อถือได้ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

★ Skill Trend อันดับที่ 6 – ความคิดสร้างสรรค์และความอยากรู้อยากเห็น (Creativity and Curiosity)

        ความคิดสร้างสรรค์ ความอยากรู้อยากเห็น และความคิดริเริ่มจุดประกายให้เกิดนวัตกรรมและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งทำให้ทักษะเหล่านี้เป็นที่ต้องการอย่างมากในที่ทำงาน และเนื่องจากความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติลดลงเมื่อเราอายุมากขึ้น การพัฒนาคุณลักษณะนี้จึงต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการเปลี่ยนความคิด

        ในทางกลับกัน ความคิดสร้างสรรค์จะส่งเสริมการทำงานร่วมกันและส่งเสริมการแสวงหาข้อมูล ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่มีคุณค่าเพราะเป็นการแสวงหาการสำรวจการแก้ปัญหาด้วยแนวคิดที่เป็นนวัตกรรมและการแก้ปัญหาที่ทำให้ธุรกิจมีความได้เปรียบในการแข่งขัน

★ Skill Trend อันดับที่ 7 – การสื่อสารผ่านความฉลาดทางอารมณ์ (Communicating through Emotional Intelligence)

        ความฉลาดทางอารมณ์คือการตระหนักรู้ในตนเอง มันเกี่ยวกับวิธีที่คุณทำงานกับอารมณ์ของมนุษย์เพื่อสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและ เสริมความสัมพันธ์กับผู้คนและสถานการณ์ได้ดีขึ้น ทักษะนี้ส่งผลโดยตรงต่อการบริหารจัดการคน การแก้ปัญหา รับมือกับการเปลี่ยนแปลง จัดการพฤติกรรม และการสร้างแรงจูงใจ

        ผู้จัดการที่มี EQ จะรับรู้ได้ถึงสถานะทางอารมณ์ของตนเอง และรู้วิธีที่จะจัดการกับมันได้ดีที่สุด และยังสามารถปรับให้เข้ากับอารมณ์ของพนักงานได้ด้วย

        การเอาใจใส่ถือเป็น การใช้ EQ อีกอย่างหนึ่ง ที่ส่งผลต่อวิธีที่เราสื่อสาร ดำเนินการ และตัดสินใจของเรา คนที่มี EQ สูงนั้นจะเป็นเพื่อนที่ดีในการสื่อสาร พวกเขายินดีช่วยเหลือผู้อื่น เชื่อถือได้ และสามารถแก้ไขสถานการณ์ความขัดแย้งได้ดีขึ้น เมื่อต้องรับมือกับพนักงานที่มีหลากหลายและความแตกต่างทางวัฒนธรรม

        EQ ได้กลายเป็นทักษะที่มีคุณค่าในการสร้างวิธีการให้และรับคำวิจารณ์ที่สร้างสรรค์ สร้างสุขภาพที่ดีในการทำงาน และส่งเสริมการทำงานเป็นทีม

          งานแห่งอนาคตจะต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างทักษะทั้ง Hard Skills และ SoftSkills ผู้จัดการฝ่าย HR ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมในสถานที่ทำงาน และสถาบันฝึกอบรมล้วนต้องการช่วยผู้คนเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างปีนี้และปีต่อๆ ไป

Reference

https://www.linkedin.com/pulse/what-skills-needed-work-2022-mindspas-7-top-soft-skill-pretorius

Share:

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2565

พนักงานมักทำอะไรระหว่างการประชุม ผู้นำยุคใหม่ต้องรู้ทัน

👉 การประชุมที่ยืดเยื้อ ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและขาดการมีส่วนร่วมในการประชุม เวลาที่ยาวนานจะเกินไป ส่งผลให้พนักงานไม่มีสมาธิที่จะจดจ่ออยู่กับเนื้อหาของการประชุม ซึ่งงานวิจัย การใช้เวลาสำหรับการประชุมในที่ทำงาน ปี 2022 จาก livecareer.com ได้เปิดเผยถึงกิจกรรมที่พนักงานทำระหว่างการประชุม โดยนำเสนอผ่านข้อมูลสถิติการทำงานดังนี้

Highlight : 75% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ยอมรับว่าไม่ได้ใส่ใจระหว่างการประชุม

คนชอบทำอะไรระหว่างประชุม

👎 และนี่คือสิ่งที่พวกเขาทำแทน

39% อ่านข่าวบนอินเทอร์เน็ต

38% ท่องโซเชียลมีเดีย 

38% อ่านหนังสือ

35% ช็อปออนไลน์

32% สนทนาทางข้อความกับเพื่อน

31% เล่นเกมออนไลน์/มือถือ

28% ทำงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน

27% วาดรูป

👩 สำหรับผู้หญิงบ่อยที่สุดคือ การช้อปปิ้งออนไลน์ เพื่อความบันเทิงระหว่างการประชุม 

👨 สำหรับผู้ชาย : มักเลือกที่จะอ่านข่าวมากที่สุด

👉 ข้อมูลนำเสนอนี้จะช่วยกระตุ้นให้ผู้จัดการ ผู้นำการประชุมทั้งหลายตระหนักถึงการให้ความสำคัญของการพัฒนาทักษะ Soft Skills ด้านการจัดการบริหารเวลา (Time Management) เพื่อจะไม่ละลายเวลาอันมีค่า เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการดังกล่าวข้างต้น

💪 Upgrade Soft Skills : Time Management 

  • ประชุมครั้งนี้ จำเป็นหรือไม่? ตอบ...
  • เชิญเฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
  • กำหนดหัวข้อประชุมให้ชัดเจน
  • กำหนดเวลาการประชุม (ใช้เวลาแค่ไหนให้เวิร์ค)
  • เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้าประชุม
  • ต้องมีผู้นำการประชุม

👉 Tips : หากเราถูกเชิญเข้าประชุม ให้ดูว่ามีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรา หรือต้องการความคิดเห็นจากเราหรือไม่ ถ้าพิจารณาแล้ว ก็แนะนำว่าให้ปฏิเสธการเข้าประชุม จะไม่เสียเวลาไปเปล่าประโยชน์ เพราะไม่อย่างนั้นเราอาจเข้าไปนั่งโง่ๆ และหาอะไรทำระหว่างการประชุม

Reference

https://www.livecareer.com/resources/careers/planning/workplace-meetings-2022-statistics

https://www.officemate.co.th/blog/productive-meeting/

Share:

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2565

ใช้เวลาเท่าไหร่ในการประชุมในที่ทำงานให้เวิร์ค

สถิติคนใช้เวลาในการประชุม

ต้องประชุมไปถึงกี่โมง !!!

👉 เราคงเคยได้ยินกันบ่อยๆถึงเสียงบ่นของการเข้าประชุมที่สุดแสนจะยาวนาน แต่ได้ข้อสรุปไม่ถึง 20% ของทั้งหมด และการประชุมที่ยาวนานเกินไปนั้น เกิดข้อเท็จจริงที่ว่าสมาชิกที่เข้าร่วมประชุม ไม่มีสมาธิหรือหลุดไปจากเนื้อหาการประชุมแล้ว ซึงความผิดพลาดเหล่านี้ชี้ให้ถึงการที่ผู้นำการประชุมขาดทักษะ Soft Skills ด้านการบริหารจัดการ (Time Management) เวลานั่นเอง

Highlight : พนักงานโดยเฉลี่ยมีการประชุม 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และพนักงานแต่ละคนใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการเตรียมตัวประชุมในแต่ละครั้ง รวมเฉลี่ย 12-15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์   

👉 เปิดดูข้อมูลสถิติการใช้เวลาการประชุมในที่ทำงานปี 2022 จาก livecarrer.com ได้รายงานถึง ช่วงเวลาเท่าใดกว่าที่ผู้คนจะเริ่มไม่สนใจในเนื้อหาของการประชุม

  1. น้อยกว่า 10 นาที จำนวน 9 %
  2. หลังจาก 20-30 นาที จำนวน 43%
  3. หลังจาก 30-40 นาที จำนวน 30%
  4. หลังจาก 40-50 นาที จำนวน 14%
  5. หลังจาก 1 ชม.ขึ้นไป จำนวน 4%
👉 ผู้ตอบแบบสอบถามเกือบครึ่งแสดงความเห็นว่า 20-30 นาที เป็นเวลาที่เพียงพอแล้วในการประชุม ที่จะสามารถมาสมาธิได้ และเมื่อถึง 50 นาทีขึ้นไป การประชุมจะเริ่มสูญเสียความสนใจจากผู้เข้าประชุมถึง 96% 

Highlight การประชุมที่ไม่ก่อผลมีค่าใช้จ่ายประมาณ 37 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และเสียเวลาทำงาน 24 พันล้านชั่วโมง

💪 Upgrade Soft Skills : Time Management

👉 ท่านผู้จัดการ หัวหน้างาน หรือผู้นำการประชุมทั้งหลาย สามารถนำข้อมูลนี้ใช้เพื่อพัฒนาทักษะผู้นำ Soft Skills ด้านการบริหารจัดการเวลา ในการวางแผนกำหนดระยะเวลา และควบคุมการประชุม ไม่ให้ยืดเยื้อยาวนานจนเกินไป

Reference

https://www.livecareer.com/resources/careers/planning/workplace-meetings-2022-statistics

Share:

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2565

รู้ความหมายของ Soft Skills ทักษะสำคัญของโลกยุคใหม่


ความหมายของ Soft Skills คืออะไร

Soft Skills คืออะไร?

Soft Skills (ซอฟท์สกิล) คือ ความสามารถของแต่ละบุคคลด้านการใช้คุณสมบัติด้าน อารมณ์ ความคิด แสดงพฤติกรรม ตามบุคลิกภาพและอุปนิสัยของของตนเอง เพื่อทำความเข้าใจในตนเองในเชิงลึก มุ่งสู่การมีมนุษย์สัมพันธ์ทางสังคม สามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ดี โดยทักษะอาจมีติดตัวมาแต่กำเนิดหรือสามารถเรียนรู้พัฒนาในภายหลังได้

Soft Skills เหมาะกับใคร?

เหมาะกับ ทุกคนที่ต้องการพัฒนาทักษะทางสังคม ที่มุ่งเน้นการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ซึ่งสามารถนำมาใช้ได้ทั้งชีวิตการทำงาน และ ชีวิตส่วนตัว 

Soft Skills ทำไมจึงสำคัญในโลกยุคใหม่

Digital Disruption จะเข้ามีบทบาทในการแย่งหลายๆตำแหน่งงานไป จากบทสัมภาษณ์ของ ศ.ดร.ธนารักษ์ ธีระมั่นคง อาจารย์ภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์และการสื่อสาร สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า "มนุษย์จำเป็นต้องปรับตัว เพิ่มทักษะการทำงาน ให้สอดคล้องกับยุคปัญญาประดิษฐ์" เพราะการเข้ามาของ AI จะส่งผลให้ทักษะบางอาชีพค่อยๆ ปิดตัวลง 

ทักษะ Soft Skills จะเป็นตัวที่ช่วยให้เรามีความสามารถที่ AI ยังไม่สามารถเข้ามาแย่งเราไปได้ Soft Skills 365 จะขอเป็นอีก 1 ทางที่จะช่วยพัฒนาความรู้ด้าน Soft Skills ให้กับทุกคนที่ต้องการพัฒนาตนเอง

Reference

https://adecco.co.th/th/knowledge-center/detail/soft-skill-vs-hard-skill

https://www.palagrit.com/what-is-soft-skills/

https://techsauce.co/connext/life-hacks/what-is-soft-skills-and-how-to-identify-your-soft-skills

https://www.urbinner.com/post/what-are-soft-skills

http://lyksoomu.com/BJ91

http://lyksoomu.com/BKOy


Share: